วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม



อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม

อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม




อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม (กรุงเทพธุรกิจ)
โดย  จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์

          ทางสายไหม นับเป็นเส้นทางเก่าแก่ เชื่อมโยงโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน

          ทางสายไหมมิใช่เป็นเส้นทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงชุมชน เมือง สังคมวัฒนธรรม และเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายที่ประสานสัมพันธ์กันบนเส้นทางเก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

          ในบรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่บนทางสายไหม ชาวอุยกูร (Uyghur) นับเป็นประชาชาติเก่าแก่ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเส้นทางสายไหมมายาวนานหลายศตวรรษ  สันนิษฐานว่าชาวอุยกูรมีถิ่นฐานเดิมแถบเทือกเขาอัลไต เป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มชนเร่ร่อนชาติพันธุ์เตอร์ก (Turkic ethnic group) ซึ่งตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ตั้งแต่เขตแดนตะวันตกของจีน ไปจนถึงแถบทะเลสาบแคสเปียน  
          ราว ค.ศ.744 ชาวอุยกูรได้สถาปนาอาณาจักรของพวกเขาขึ้น โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เอเชียกลาง ตั้งแต่ทะเลสาบแคสเปียนทางตะวันตกถึงแมนจูเรียทางตะวันออก

          ในยุคนี้ราชวงศ์ถังของจีนได้อาศัยความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรอุยกูรเพื่อขยายการค้าบนเส้นทางสายไหม จนทำให้ชาวอุยกูรมั่งคั่งร่ำรวย กระทั่งถึง ค.ศ.840 อาณาจักรเข้าสู่ยุคเสื่อม เนื่องจากเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพงและสงครามภายใน จึงถูกชนชาติคัยร์กิย์ซ (Kyrgyz) ซึ่งเคยอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรอุยกูรบุกเข้าทำลายเมืองหลวง

          จากนั้นชาวอุยกูรต้องอยู่ภายใต้อำนาจของชนกลุ่มต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมามีอิทธิพล ได้แก่ พวกจีนฮั่น พวกเตอร์กเผ่าต่างๆ รวมทั้งมองโกล แม้จะอยู่ใต้อิทธิพลของชนชาติอื่น แต่ชาวอุยกูรก็ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีดินแดนของตนเองเรื่อยมาโดยเฉพาะจีนซึ่งขยายอิทธิพลเข้ามาควบคุมดินแดนอันเป็นถิ่นฐานของชาวอุยกูรตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หยวน 

          ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง จักรพรรดิจีนได้ส่งกองทัพเข้ายึดครองดินแดนทางตะวันตกซึ่งรวมทั้งถิ่นที่อยู่ของชาวอุยกูร ทำให้ชนพื้นเมืองก่อการจลาจลถึง 42 ครั้ง

          กระทั่งถึง ค.ศ.1864 ชาวอุยกูรประสบความสำเร็จ ตั้งรัฐอิสระของตัวเองในนามอาณาจักรกัชคาเรีย (Kashgaria Kingdom)
          ต่อมาใน ค.ศ.1884 กองทัพชิงผนวกดินแดนของชาวอุยกูรเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ที่เรียกว่า"หุยเจียง" (Hui Jiang) หมายถึงดินแดนของมุสลิม ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ซินเจียง" (Xingjing) หมายถึง "เขตแดนใหม่"
          ชาวอุยกูรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งแผ่ขยายเข้าสู่เส้นทางสายไหมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 และขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-11 ชนเชื้อสายเตอร์กเผ่าต่างๆ ได้หันมานับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งชาวอุยกูร ศาสนาอิสลามเข้าไปผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมของชนเร่ร่อนเกิดเป็นแบบแผนอันเป็นเอกลักษณ์สืบเนื่องต่อมา

          ปัจจุบันชาวอุยกูรตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในเขตประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในดินแดนเตอร์กิสถานตะวันออก ซึ่งจีนคอมมิวนิสต์ได้ผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐ

          ชาวอุยกูรได้จัดตั้งองค์กรใต้ดินเพื่อปลดแอกตนเองจากการปกครองของจีนและจัดตั้งรัฐอิสระที่เรียกว่า "อุยกูรสถาน" (Uyghurstan) หรือเตอร์กิสถานตะวันออก เป็นที่มาของความขัดแย้งกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์อยู่เป็นระยะๆ

          การค้นพบทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่ามากมายทำให้รัฐบาลจีนเข้าไปควบคุมซินเจียงอย่างเข้มงวด ประมาณว่ามีปริมาณถ่านหินและน้ำมันปิโตรเลียมในเขตนี้ถึง 1 ใน 3 ของปริมาณทั้งหมดของจีน
          บ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในซินเจียง มีเนื้อที่ประมาณ 74,000 ตารางกิโลเมตร แหล่งสำรองน้ำมันปิโตรเลียมราว 20,800 ล้านตัน และทรัพยากรก๊าซธรรมชาติมากกว่า 10,000,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 30% ของทรัพยากรน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติทางบกทั้งหมดของจีน นอกจากนี้ทรัพยากรถ่านหินของซินเจียงยังมีกว่า 2 ล้านล้านตัน คิดเป็น 40% ของถ่านหินทั้งหมดของจีน

          ผลประโยชน์มากมายมหาศาล ของดินแดนอันเปรียบเสมือนทะเลแห่งโภคทรัพย์นี้กระมัง ที่ทำให้ชาวอุยกูรยังคงต้องรอคอยความหวังแห่งอิสรภาพต่อไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น