วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ทิเบต





เที่ยวทัวร์ทิเบต• ทิเบต ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่า "หลังคาโลก" ที่ตั้งอยู่บนความสูง 3,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล
• สำหรับการที่จะไปเที่ยวทัวร์ทิเบต สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง แต่ไม่มีเครื่องบินบินตรงจากกรุงเทพไปทิเบตครับ มีแต่ต้องไปต่อเครื่องทั้งนั้น
• เส้นทางต่อเครื่องไปทิเบต
1.สนามบินสุวรรณภูมิ - คุนหมิง - ลาซา (CHINA EASTERN MU หรือ สายการบินไทยแอร์เวย์ แล้วไปต่อเครื่องที่คุนหมิง-ทิเบต)
2.สนามบินสุวรรณภูมิ - เฉิงตู - ลาซา (สายการบินไทยแอร์เวย์ แล้วไปต่อเครื่องที่เฉิงตู-ทิเบต)
3.สนามบินสุวรรณภูมิ - กวางเจา - ลาซา (CHINA EASTERN CZ หรือ สายการบินอื่นๆที่บินเข้ากวางเจา แล้วไปต่อเครื่องที่กวางเจา-เบต)
4.สนามบินสุวรรณภูมิ - ปักกิ่ง - ลาซา (AIR CHINA CA หรือ สายการบินอื่นๆที่บินเข้าปักกิ่ง แล้วไปต่อเครื่องที่ปักกิ่ง-ทิเบต)
5.สนามบินดอนเมือง - ฉงชิ่ง - ลาซา (สายการบินแอร์เอเชียแล้วไปต่อเครื่องที่ฉงชิ่ง-ทิเบต)
6.สนามบินดอนเมือง - ซีอาน - ลาซา (สายการบินแอร์เอเชียแล้วไปต่อเครื่องที่ซีอาน-ทิเบต)

บันทึกการเดินทางเที่ยวทิเบต บนเส้นทางสายหลังคาโลก
• ก่อนเดินทางไปทิเบต ผมนั่งดูสารคดี ภาพยนต์ หนังสือต่างๆมากมายกับดินแดนลี้ลับแห่งนี้ มันทำให้ผมอยากไปทิเบตมากขึ้นทุกที ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่า "หลังคาโลก"
• คนทิเบตเกิดมาอาบน้ำ 3 ครั้งในชีวิต คือตอนเกิด ตอนแต่งงาน และตอนที่ตาย (แล้วอย่างนี้ฉันจะไปทนกลิ่นทิเบตไหวหรือปล่าว...?????)
• มนต์ขลังแห่งดินแดนหลังคาโลก มันเรียกร้องให้ผมต้องเดินทางไปเยี่ยมชมเขตปกครองตนเองทิเบตสักครั้ง....
• ก่อนเดินทางไปทิเบต
• ข้อมูลของนักเดินทางรุ่นก่อนหลายคนที่แนะนำว่าให้บินเข้าไปเฉินตูแล้วต่อเครื่องไปซีหนิง มณฑลชิงไห่ แล้วไปนั่งรถไฟเข้าทิเบต วิธีนี้จะช่วยลดเรื่องความเสี่ยงต่อการแพ้เรื่องการไปอยู่บนที่สูงได้ แต่ผมเองชักไม่แน่ใจเพราะเส้นทางรถไฟที่ขึ้น-ลงจากระดับ 2,000-5,000 เมตร มันคงไม่น่าจะทำให้เราปรับตัวตัวได้ เพราะยังไงการปรับตัวมันต้องใช้เวลาถึง 24 ชั่วโมง แต่นี่มันทั้งขึ้นสูงและลดต่ำอยู่ตลอดเส้นทาง
• ข้อมูลของบางคนก็บอกว่าให้บินเข้าทิเบตแล้วก็เข้าโรงแรมไปนอนพักดีกว่าจะสะดวกดี (วิธีนี้น่าสนใจ) แต่จะบินทางเส้นไหนดีละ เพราะจากกรุงเทพฯ มันต้องต่อเครื่อง บินเข้าเฉินตู ปักกิ่ง กวางเจา หรือคุนหมิง ถ้าดูจากแผนที่และระยะเวลาของเวลาบินแล้ว คุนหมิงเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ผมเลือกวิธีนี้จะสะดวกสุด
• สนามบินกงก่า นครลาซา ทิเบต
• หลังจากเครื่องบินออกจากคุนหมิงสู่สนามบินจงเตี้ยน (แชงกรีล่า) บนความสูงประมาณ 3,200 เมตร เครื่องก็แวะให้เราลงไปพักที่สนามบินแชงกรีล่าประมาณ 40 นาที จากนั้นก็บินต่อสู่สนามบินกงก่า นครลาซา ทิเบต
• สนามบินกงก่า ทิเบต บนความสูง 3,650 เมตร หลังจากออกสนามบินมารับกระเป๋า ด้วยความที่รีบร้อนไปหน่อยทำให้ตัวเองรู้สึกเข่าอ่อนทันที แล้วต้องคอยบอกตัวเองย้ำเตือนตัวเองตลอดว่า ให้เดินช้าๆ หายใจยาวๆ เพราะร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนน้อยกว่าพื้นราบข้างล่าง
• เข้าโรงแรม
• นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เมื่อเข้าโรงแรม พักผ่อน ก็จะนอนหลับพักผ่อน จากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยไปทิเบตมาหลายครั้ง อยากบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิดนะครับ เพราะเวลานอนหลับ ร่างกายทำงานน้อย อ๊อกซิเจนเข้าสู่ร่างกายก็ยิ่งน้อยไปอีก ทางที่ดีเวลาเข้าโรงแรมก็ควรนั่งพักผ่อน นอนดูทีวี เดินเล่น จิ๊บน้ำบ่อยๆ หายใจลึกๆ แล้วก็หาผลไม้มาทานเยอะๆและของขบเคี้ยวแบบหวานๆ อย่างพวกช้อคโกแลท จะช่วยให้ร่างการได้ปรับตัวได้ดีขึ้น
• อาการแพ้ที่สูง (Altitude Sickness)
• อาการแพ้ที่สูงส่วนใหญ่จะรู้สึกมึนงง เวียนหัวและอ่อนเพลีย ทำให้อยากนอนอย่างเดียว ตรงนี้สำคัญมาก ห้ามทานยาที่ทำให้ง่วงนอนนะครับ อย่างพวก ทิฟฟี่ ดีคอลเจน หรือยาแก้แพ้แก้ไข้ต่างๆ
• ยาที่ใช้บนที่สูงที่นิยมใช้กัน
• Diamox ยานี้ช่วยเพิ่มการหายใจ ปวดศีรษะ มึนงง ยานี้ควรทานก่อนขึ้นที่สูงประมาณ 24 ชั่วโมง และควรทานต่อเนื่องขณะอยู่บนที่สูง วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น (ครั้งละ ครึ่ง-1 เม็ด) ยานี้ห้ามคนที่แพ้ซัลฟาทานนะครับ
• ยาหงจิ่งเทียน อันนี้เป็นยาจีน มีชนิดเม็ดและน้ำ เป็นยาที่นิยมใช้กันบนที่สูงอีกชนิดหนึ่งและได้ผลค่อนข้างดีด้วย
• อ๊อกซิเจนกระป๋อง นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมชอบซื้ออ๊อกซิเจนกระป๋อง ตรงนี้ผมไม่ว่าไรครับ ซื้อไว้สัก 1 กระป๋องเอามานอนกอดเล่น แต่ไม่ใช่ว่าเอามาดมตลอดเวลานะครับ เพราะถ้าเอามาดมอยู่บ่อยๆ มันจะทำให้ร่างกายจะปรับสภาพบนที่สูงไม่ได้ เราก็จะขาดอ๊อกซิเจนไม่ได้ มันจะมีปัญหาตอนเวลานอนนะ เพราะจะทำให้เรานอนไม่หลับ
• อาการแพ้ที่สูงไม่หาย...ทำไงดี ???• หากว่าทดลองทำทุกวิธีแล้วมันยังไม่หาย ผมขอแนะนำว่าให้ฉีดยาโดยหมอจีนเลยครับ เพราะโรงแรมที่ทิเบตส่วนใหญ่จะมีหมอมาประจำอยู่เกือบทุกโรงแรม การตรวจของหมอจีนเขาตรวจให้ฟรี แต่ค่าฉีดยาเข็มละ 2,500-3,000.-บาท ฉีดแค่เข็มเดียวก็หายเลย มีนักท่องเที่ยวชาวจีน ชาวฝรั่งมากมายที่ฉีดยาแพ้ที่สูง (สำหรับคนไทยส่วนใหญ่กลัวครับ) แต่เห็นคนที่แพ้ที่สูงมากๆแล้วไปฉีดยา ก็หายแบบเป็นปกติ ตรงนี้ผมเห็นมาเยอะแล้ว การจะฉีดยาแพ้ที่สูงว่าเราควรจะฉีดหรือไม่ หมอเขาจะตรวจและบอกอาการเราได้เลย ถ้าอยากได้ราคาถูกหน่อยก็ไปให้หมอที่โรงพยาบาลฉีดครับ

เวียดนาม


 
ประเทศเวียดนาม
• ประเทศเวียดนาม มีรูปร่างคล้ายตัว S ทอดตัวยาวเหยียดไปตามแหลมอินโดจีน ด้านตะวันออกติดทะเลจีนใต้ ด้านเหนือติดจีน ด้านตะวันตกติดลาว และกัมพูชา สามในสี่ของพื้นที่เป็นภูเขาและป่า ครอบคลุมทะเล ไหล่ทวีป และหมู่เกาะนับพันเกาะจากอ่าวตังเกี๋ยจรดอ่าวไทย รวมทั้งหมู่เกาะสแปรตลีและพาราเซลที่จีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศแย่งกันอ้างกรรมสิทธิ์ สาเหตุเป็นเพราะมีแหล่งน้ำมันใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์
• อาณาเขตเวียดนาม เวียดนามมีพื้นที่ประมาณ 327,500 ตารางกิโลเมตร ความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,650 กิโลเมตร ขนานไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ยังมีไหล่เขาและหมู่เกาะต่างๆ อีกนับพันเกาะเรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าวไทย มีประชากรประมาณ 81.4 ล้านคน
ทิศเหนือ ติดกับ ประเทศจีน
ทิศใต้ ติดกับทะเลจีนใต้
ทิศตะวันออก ติดกับ อ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้
ทิศตะวันตก ติดกับอ่าวไทย ประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
• ลักษณะภูมิอากาศ เนื่องจากแผ่นดินของเวียดนามมีความยาวมาก ทำให้ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้
• ภาคเหนือ ภูมิประเทศเวียดนามประกอบด้วยภูเขาสูงมากมาย โดยเฉพาะเทือกเขาฟานสีปัน สูงถึง 3,143 เมตร สูงที่สุดในอินโดจีน มีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำกุง ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแดงเป็นดินดอนสามเหลี่ยมที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและยังเป็นที่ตั้งของเมืองฮานอยอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเวียตนาม มีที่ราบลุ่ม Cao Bang และ Vinh Yen ตลอดจนเกาะแก่งกว่า 3,000 เกาะ อ่าวฮาลอง และเนื่องจากพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตอากาศหนาว ซึ่งได้รับอิทธิพลกระแสลมแรงพัดจากขั้วโลก ทำให้มีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น
• ภูมิอากาศในเขตภาคเหนือแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู
1.ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-เมษายน) มีฝนตกปรอยๆ และความชื้นสูง อุณหภูมิประมาณ 17 องศา – 23 องศา
2.ฤดูร้อน (พฤษภาคม-สิงหาคม) อากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิประมาณ 30 – 39 องศา เดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนมิถุนายน
3.ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิ 23 – 28 องศา
4.ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในรอบปี คือ ประมาณ 7 – 20 องศา แต่ในบางครั้งอาจลดลงถึง 0 องศา เดือนที่อากาศหนาวที่สุดคือ มกราคม
ภาคกลาง ภาคกลางของเวียดนามยังมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากมาย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหินภูเขาไฟ หาดทราย เนินทราย และทะเลสาบ
• ภูมิอากาศในเขตภาคภาคกลาง 2 ฤดู
1.ฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) เดือนที่อากาศร้อนที่สุดคือ มิถุนายน-กรกฎาคม อุณหภูมิเกือบ 40 องศา
2.ฤดูแล้ง (ตุลาคม-เมษายน) เดือนที่อากาศเย็นที่สุด คือ มกราคม อุณหภูมิเกือบ 20 องศา
ภาคใต้ แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเวียดนามเป็นที่ราบสูง แต่ก็มีที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง หรือชื่อที่รู้จักคือ กู๋ลอง (Cuu Long) อันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียตนาม และเป็นที่ตั้งของกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ หรือ ไซ่ง่อน ภูมิอากาศค่อนข้างร้อน อุณหภูมิประมาณ 27 องศา มี 2 ฤดู คือ
1.ฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน) เดือนที่ร้อนที่สุดคือ เดือนเมษายน อุณหภูมิประมาณ 39 องศา
2.ฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน-เมษายน) เดือนที่อากาศเย็นที่สุดคือ มกราคม อุณหภูมิประมาณ 26 องศา
• ขอมูลทั่วไปประเทศเวียดนาม
• เมืองหลวง คือ ฮานอย ตั้งอยู่ทางภาคเหนือ เป็นเมืองศูนย์กลางด้านการค้าและอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังมีเมืองสำคัญต่างๆ ดังนี้
1.โฮจิมินห์ซิตี้ (ไซ่ง่อน) ตั้งอยู่ทางภาคใต้ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางการค้าด้วย
2.ไฮฟอง เป็นเมืองท่าอยู่ทางชายฝั่งตอนเหนือใกล้เมืองฮานอย
3.ดานัง เป็นเมืองท่าและเป็นเมืองด้านการท่องเที่ยว ติดทะเลจีนใต้อยู่ทางภาคกลางของเวียตนาม
4.เว้ เป็นเมืองประวัติศาสตร์ใกล้เมืองดานัง
• เทศกาลเต็ด (Tet)
• โดยปกติแล้ว ชาวเวียดนามจะเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ อย่างน้อย 3-7 วัน ติดต่อกัน โดยมีเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด คือ “เต็ดเหวียนดาน” (Tet Nguyen Dan) มีความหมายว่าเทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี ที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า เทศกาลเต็ด เทสกาลจะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะมีวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ คือ ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ ของวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาว กับวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ในฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองในภาพรวมทั้งหมดของความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ และศาสนาพุทธ รวมถึงการเคารพบรรพบุรุษ
• เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
• สำหรับเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง นับตามจันทรคติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านจัดประกวด “ขนมบันตรังทู” หรือ ขนมเปี๊ยะโก๋ญวน ทีมีรูปร่างกลม มีไส้ถั่วและไส้ผลไม้ พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระจันทร์ ซึ่งในบางหมู่บ้านอาจประดับโคมไฟพร้อมทั้งจัดงานขับร้องเพลงพื้นบ้าน
• เวลาทำการของขององค์กรรัฐและเอกชน
1.หน่วยงานราชการ สำนักงาน และองค์กรให้บริการสาธารณสุข 8.00 – 16.30 น. ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้บริการวันเสาร์อีกครึ่งวัน
2.ร้านค้าเอกชนทั่วไปให้บริการระหว่าง 6.00 – 18.30 น.
3.ธนาคารพาณิชย์ ให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 น. (หยุดพักเวลา 12.00 – 13.00 น.)
4.สำนักงานไปรษณีย์โทรเลข ให้บริการ ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น.
5.โรงงานอุตสาหกรรม ทำงานวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันเสาร์อีกครึ่งวัน โดยเวลาทำงานรวมไม่เกิน 48 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หากเกินจากนี้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา สำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่ม 2 เท่า และวันหยุดนักขัตฤกษ์จ่ายเพิ่ม 3 เท่า

 

บันทึกการเดินทางประเทศตุรกี

• บนเส้นทางของประเทศสองทวีป ตุรกีเป็นประเทศที่สวยงามด้วยมรดกโลกและสิ่งมหัศจรรย์ของโลก รวมทั้งร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่
• ผมเดินทางมาเที่ยวประเทศตุรกี สิ่งที่ประประทับใจมากที่สุดก็อัธยาศัยไมตรีของคนตุรกี โดยส่วนตัวแล้วผมเองค่อนข้างจะกลัวความวุ่นวายของเมืองแขก(อิสลาม) แต่ที่นี่กลับว่าไม่ใช่ ความน่ารักของผู้คน อัธยาศัยไมตรีที่ต้อนรับคนต่างชาติ พอรู้ว่าเป็นคนไทย การเข้ามาพูดคุยถามไถ่และรอยยิ้มมันทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่ต้องเทใจให้ว่า ตุรกีเป็นประเทศที่น่ารักมากที่สุดอีกประเทศหนึ่งของโลก
• ก่อนที่จะไปเที่ยวประเทศตุรกี ลองดูรูปสถานที่ท่องเที่ยวก่อนนะครับว่าประเทศนี้น่าเที่ยวแค่ไหน
• ฤดูกาลท่องเที่ยวตุรกี
• ประเทศตุรกีมี 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม) ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน) ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน) และ ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม) ชอบบรรยากาศแบบไหนก็ไปเที่ยวกันได้นะครับ
ตุรกี ดินแดนสองทวีป• ตุรกี (Turkey) ดินแดนสองบุคลิกเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่มีอาณาเขตพาดผ่านแผ่นดินทั้งยุโรปและเอเชียผนึกแน่นเป็นเนื้อเดียว แผ่นดินที่ราบสูงอนาโตเลียมิเพียงขรึมขลังด้วย รากประวัติศาสตร์อารยธรรมที่เก่าแก่และความหลากหลายของชนหลายกลุ่มนับแต่ ครั้ง 2,500 ปีก่อนคริสตกาล
• ตุรกีเป็นนครที่อุดมไปด้วยเรื่องราวแห่งตำนานและประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเมืองทรอย และม้าไม้อันลือลั่น อิสตันบูล อดีตเมืองหล่วงแห่ง 3 อาณาจักร ศึกษาร่องรอยอารยธรรมของดินแดนในตอนกลางอนาโตเลีย มรดกโลกทั้งทางด้านธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมในบริเวณที่เรียกว่า คัมปาโดเจีย ชื่นชมทัศนียภาพอันน่าอัศจรรย์แห่งหุบเขาเกอเรเม ปามุกคาเล หรือ ปราสาทปุยฝ้ายที่ธรรมชาติรังสรรค์ เมืองเอเฟซุส นครโบราณที่พรั่งพร้อมไปด้วยร่องรอยอารยธรรมแห่งกรีก-โรมัน
• การท่องเที่ยวในตุรกีมีหลายประเภท ไมว่าจะเป็นการปีนเขา ชมธรรมชาติ เที่ยวทะเล ดำน้ำ ตกปลา ล่องแก่ง และชมโบราณสถานเชิงศิลปะและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าประเภทหัตถกรรมที่โด่งดังอีกด้วย
• ข้อมูลทั่วไปตุรกี
• เมืองหลวงของตุรกีคือ เมืองอังการา (Ankara) อังการาเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอิสตันบูล ตั้งอยู่ในจังหวัดอังการาอยู่ที่ระดับความสูงเฉลี่ย 938 เมตร มีประชากรประมาณ 3.9 ล้านคน
• เมืองที่ใหญ่ที่สุดของตุรกีคือ เมืองอิสตันบูล (Istanbul) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศตุรกี ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งทำให้อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลก ที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีป คือ ทวีปยุโรป (ฝั่ง Thrace ของบอสฟอรัส) และทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลีย)
• ตุรกี หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี (Republic of Turkey) เป็นประเทศที่มีดินแดนทั้งในบริเวณเธรซ บนคาบสมุทรบอลข่านในยุโรปตอนใต้ และคาบสมุทรอานาโตเลียในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ ส่วนที่แยกอานาโตเลียและแทรสออกจากกันคือทะเลมาร์มารา และช่องแคบตุรกี (ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลส) ซึ่งมักถือเป็นพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป จึงทำให้ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ในหลายทวีป
• ตุรกี เป็นดินแดนที่กวีเอกโฮเมอร์ (Homer) รจนามหากาพย์อีเลียด (Ilias) ตามแรงบันดาลใจเมื่อได้เห็นฝั่งทะเลอีเจียน ดินแดนที่มาร์ก แอนโทนีและคลีโอพัตราเลือกมาฉลองความหวานชื่ผนแห่งน้ำผึ้งพระจันทร์ ดินแดนแห่งสิ่งมหัสจรรย์ของโลกยุคโบราณ เช่น สุสานแห่งเมืองฮาลิคาร์นัสซุส (Maausoleum in Halicarnassus) และวิหารเทพีอาร์ทีมิสในเอฟซุส สัมพัสทะเลงดงามที่เทพีวีนัสเคยสรงสนาน และเพลิดเพลินไปในดินแดนที่เทพีสุริยะให้สมญานามว่า อนาโตเลีย (Anatolia)
• ตุรกีเป็นประเทศสองทวีปที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ตุรกีในฝั่งเอเชียซึ่งครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอานาโตเลีย นับเป็นพื้นที่ร้อยละ 97 ของประเทศ และถูกแยกจากตุรกีฝั่งยุโรปด้วยช่องแคบบอสพอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดาเนลเลส (ซึ่งรวมกันเป็นพื้นน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ตุรกีในฝั่งยุโรปซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 3 ของทั้งประเทศ ดินแดนของตุรกีมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความยาวมากกว่า 1,600 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 800
• ตุรกีฝั่งเอเชียที่มักเรียกว่าอานาโตเลียหรือเอเชียไมเนอร์ประกอบ ด้วยที่ราบสูงในตอนกลางของประเทศ อยู่ระหว่างเทือกเขาทะเลดำตะวันออกและเกอรอลูทางตอนเหนือกับเทือกเขาเทารัส ทางตอนใต้ และมีที่ราบแคบ ๆ บริเวณชายฝั่ง ทางตะวันออกของตุรกีมีลักษณะเป็นภูเขาและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายเช่น แม่น้ำยูเฟรติส แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำอารัส นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบวัน และยอดเขาอารารัด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตุรกีที่ 5,165 เมตร
• ตุรกีมีเนื้อที่ทั้งประเทศประมาณ 780,695 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ใน 2 ทวีส่วนที่เหลือในเอเป คือ เอเชีย และยุโรบ ส่วนที่เหลืออยู่ในเอเชีย 97% เรียกว่า อนาโตเลีย (Anatolia) ภาษาตุรกี เรียกว่า อนาโดหลุ (Anadolu) และ อีก 3% อยู่ในยุโยปเรียกว่า เทรซ (Thrace) พรหมแดนด้านยุโรปติดกับกรีซและบัลแกเรียด้านเอเชียร์ติดกับจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจัน อิหร่าน อิรัก และซีเรีย มีทะเลล้อมล้อม 3 ด้าน ทะเลดำทางทิศเหนือ เมดิเตอร์เรเนียน ทางทิศใต้ และทะเลอีเจียนทางทิศตะวันตก
• สภาพภูมิประเทศที่หลากหลายนั้นเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายพันปี และยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบันในรูปของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และภูเขาไฟระเบิดใน บางครั้ง ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลสก็เกิดจากแนวแยกของเปลือกโลกที่วาง ตัวผ่านตุรกีทำให้เกิดทะเลดำขึ้น ทางตอนเหนือของประเทศมีแนวแยกแผ่นดินไหววางตัวในแนวตะวันตกไปยังตะวันออก ซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2542

ประเทศภูฎาณ

ประเทศภูฏาน (Bhutan)
• ภูฏาน (Bhutan)
(อ่านว่า พู-ตาน) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรภูฏาน (Kingdom of Bhutan) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีขนาดเล็ก และมีภูเขาเป็นจำนวนมาก
• เมืองหลวง: ทิมพู (Thimpu) เป็นเมืองหลวงของภูฏานในปัจจุบัน (อยู่ห่างจากเมืองปาโร ศูนย์กลางสนามบินเพียงแห่งเดียวของภูฏาน ประมาณ 65 กิโลเมตร) ทิมพูอาจจะเป็นเมืองหลวงหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่มีสัญญาณไฟแดง เพราะเมืองนี้มีถนนเล็กๆเพียงไม่กี่สายเท่านั้น
• สถานที่ตั้งประเทศภูฎาน: ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยระหว่างประเทศอินเดียกับจีน ภูฏาน ดินแดนที่หลายๆคน ยกให้เป็นดัง"สวรรค์บนพื้นพิภพ"

• ที่มาของชื่อ Bhutan
ตามตำนานเล่าว่า ขณะที่ Tsangpa Gyare Yeshe Diorje (ค.ศ.1161-1211) กำลังประกอบพิธีสถาปนาวัดลามะแห่งหนึ่งในทิเบตกลาง ท่านได้ยินเสียงร้องซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเสียงของมังกร จึงได้ให้ชื่อวัดแห่งนี้ว่า "Druk"(มังกร) และให้นามสำนักที่ท่านตั้งขึ้นว่า "Drukpa" ชื่อในภาษาท้องถิ่นของประเทศภูฎานคือ Druk Yul (อ่านว่า ดรุก ยุล) แปลว่า "ดินแดนของมังกรสายฟ้า (Land of the Thunder Dragon)
• นอกจากนี้ภูฎานยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Druk Tsendhen เนื่องจากที่ภูฏานเสียงสายฟ้าฟาดถือเป็นเสียงของมังกร ส่วนชื่อ ภูฏาน (Bhutan) มาจากคำสมาสในภาษาสันสกฤต ภู-อุฏฺฏาน อันมีความหมายว่า "แผ่นดินบนที่สูง"
• อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์บางท่านกล่าวว่า ภูฎานอาจมาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า โภ-ฏาน หมายถึง ปลายสุดของทิเบต หรือมาจากคำว่า ภู-อัฏฏาน แปลว่า ดินแดนบนที่สูง และบ้างก็อ้างว่านักสำรวจชาวตะวันตกยุคโบราณเรียกดินแดนแถบนี้ว่า โภ-ฏัน หมายถึง ดินแดนคนโภเทียส หรือ คนที่มาจากภูสูงทิเบต ชื่อเหล่านี้อาจจะถูกกัดกร่อนควบกล้ำมาเป็น ภูฏาน หรือ บุทัน ในที่สุด
• ภูฏานมีเนื้อที่ประมาณ 46,500 ตารางกิโลเมตร หรือเท่ากับพื้นที่ของ 6 จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย คือ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน ลำปาง และแพร่ รวมกัน


ภูมิอากาศประเทศภูฏาน
• เนื่องจากภูฏานเป็นประเทศขนาดเล็ก ลักษณะภูมิอากาศจึงไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมากเป็นภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนมีฝนชุก ยกเว้นตอนเหนือซึ่งเป็นภูเขาสูง ทำให้มีอากศแบบหนาวเทือกเขา
อากาศ กลางวัน 15 - 25 องศาเซลเซียส กลางคืน 5 -10 องศาเซลเซียส มี 4 ฤดู คือ
• ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ช่วงนี้อากาศจะอบอุ่นและอาจมีฝนประปราย
• ฤดูร้อน จะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงนี้จะมีพายุฝน ตามเทือกเขาจะเขียวชอุ่ม
• ฤดูใบไม้ร่วง จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ช่วงนี้อากาศจะเย็น ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะแก่การเดินเขา
• ฤดูหนาว จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อากาศจัดเย็นจัดตอนกลางคืนและรุ่งเช้า และจะมีหมอกหนา บางครั้งโดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม อาจมีหิมะตกบ้าง
• ศาสนาประเทศภูฏาน
• ประชาชนชาวภูฏานนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตันตรยาน หรือบ้างก็เรียกว่า วัชรยาน) 75% ศาสนาฮินดู 24% ศาสนาอิสลาม 0.7% และ ศาสนาคริสต์ 0.3% มีจำนวนพระสงฆ์ราว 6,000 องค์ ซึ่งรัฐถวายความอุปการะจัดหาสิ่งของจำเป็นพื้นฐานหรือปัจจัย 4 แต่ท่านก็สามารถที่จะหารายได้พิเศษจากการทำพิธีทางศาสนา ทั้งภายในวัดหรือไปตามกิจนิมนต์ที่บ้าน ท่านมีความเคร่งครัดไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา หากทว่าฉันมื้อเย็นได้ ซึ่งต่างจากพระในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีสงฆ์อีกราว 3,000 องค์ ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีของรัฐ แต่มีเอกชนเป็นอุปัฏฐาก
• วัฒนธรรมประเทศภูฏาน
• การแข่งขันธนู เป็นการแข่งขันกีฬาที่สำคัญของชาวภูฏานภาษาประจำชาติ คือภาษาซองคา ซึ่งแต่เดิมเป็นภาษาท้องถิ่นแถบตะวันตกของภูฏาน ต่อมาได้กลายเป็นภาษาประจำชาติ เขียนด้วยอักษรทิเบต นอกจากนั้นมีการใช้ภาษาถิ่นที่ต่างไปในแต่ละพื้นที่ ภาษาของชาวภูฏานคล้ายภาษาทิเบตชาวเนปาลทางภาคใต้พูดภาษาเนปาลี ทางตะวันออกพูดภาษาชาชฮอป ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ทั่วไป

• เครื่องแต่งกายประจำชาติ พระมหากษัตริย์จะผ้าผืนใหญ่พันองค์ ซึ่งผ้าพันกายนี้เป็นธรรมเนียมของบุรุษภูฏาน เพื่อแสดงถึงตำแหน่งฐานะ เช่นว่า ผ้าสีขาวมีขอบจะเป็นของสามัญชน ผู้พิพากษาจะพันด้วยผ้าสีเขียว สำหรับองค์พระมหากษัตริย์ทรงใช้สีส้มเหลือง เช่นเดียวกันกับพระสังฆราชาแห่งรัฐ ภาษาประจำชาติ คือภาษาฌงฆะ ซึ่งแต่เดิมเป็นภาษาท้องถิ่นแถบตะวันตกของภูฏาน ต่อมาได้กลายเป็นภาษาประจำชาติ เครื่องแต่งกายประจำชาติ ผู้ชาย เรียกว่า โฆ (Kho) ส่วนของผู้หญิง เรียกว่า ฆีระ (Khira)• ภาษาประจำชาติ คือ ภาษาซองคา หรือ ฌงฆะ (Dzongkha) ซึ่งแต่เดิมเป็นภาษาท้องถิ่นแถบตะวันตกของภูฏาน ต่อมาได้กลายเป็นภาษาประจำชาติ เขียนด้วยอักษรทิเบต นอกจากนั้นมีการใช้ภาษาถิ่นที่ต่างไปในแต่ละพื้นที่ ภาษาของชาวภูฏานคล้ายภาษาทิเบตชาวเนปาลทางภาคใต้พูดภาษาเนปาลี ทางตะวันออกพูดภาษาชาชฮอป ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ทั่วไปวันชาติ : 17 ธันวาคม (พ.ศ. 2450 หรือ ค.ศ. 1907) ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนา สมเด็จพระราชาธิบดี Ugyen Wangchuck ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกของภูฏาน ที่ป้อมปูนาคา
 

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ไปเหยียบสวรรค์ ที่เกาะบาหลี




          ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย "บาหลี" เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่คนหนุ่มสาวทั่วโลกใฝ่ฝันจะไปสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต Rose มาลี ก็เคยฝันแบบนั้น และหาโอกาสไปเที่ยวมาแล้วจนได้

          ความมีเสน่ห์ของบาหลีไม่ใช่แค่สภาพภูมิศาสตร์ของเกาะ และธรรมชาติอันสวยสดงดงามอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่วิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่ปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนาน จากอดีตสู่ปัจจุบันนับพันปี และไม่ว่าโลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน หรือนักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้ามาถล่มทลายอย่างไร ความเชื่อในศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีของชาวบาหลีก็ยังมั่นคงไม่เสื่อมคลาย

          บาหลีเป็นชุมชนวัฒนธรรมฮินดูที่เข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในประเทศที่มีประชากรเป็นมุสลิมส่วนใหญ่(ชาวอินโดนีเซีย 95 % นับถือศาสนาอิสลาม) เพราะชาวบาหลีมีรากฐานทางวัฒนธรรมของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ทำให้สามารถสร้างสรรค์รูปแบบประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองจนกระฉ่อนไกลไปทั่วโลก เช่น รีสอร์ต สปา หรือสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวของบาหลีอย่างชัดเจน

          นอกจากนั้น พิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา และการยึดมั่นทำบุญไหว้พระเป็นประจำสม่ำเสมอ ได้สะท้อนให้เห็นศรัทธาที่แน่วแน่ มั่นคงต่อเทพเจ้าฮินดูของชาวบาหลี โดยชาวบ้านที่นี่เชื่อว่าธรรมชาติมีพลัง ดังนั้น ผู้คนจึงเชื่อในจิตวิญญาณ ภูตผี ปิศาจและนับถือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่สิงสถิตอยู่ตามบ้านเรือน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย



          จึงไม่แปลกที่เกาะแห่งนี้มีวัดเล็กวัดน้อยกระจัดกระจายอยู่กว่า 1 พันวัด และเรามักจะได้เห็นกระทงใบตองบรรจุดอกไม้ ธูปเทียน วางไว้ตามหน้าบ้าน ตามถนนหนทางรอบๆ เกาะ เช่นเดียวกับผู้คนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าพื้นเมืองสีสันสวยงาม เข้าวัดเช้าเย็นเป็นปกติ และหากโชคดีนักท่องเที่ยวก็อาจจะได้เห็นขบวนหญิงสาวแห่เครื่องสังเวยเซ่นไหว้ ซึ่งเป็นพานผลไม้ที่ซ้อนสูงกันขึ้นเป็นกรวยหลายชั้นเทินไว้บนศรีษะ เดินเรียงแถวกันไปร่วมงานเทศกาลต่างๆ ที่วัดซึ่งมักเป็นพิธีกรรมที่จัดอย่างยิ่งใหญ

          ด้วยเหตุนี้ บาหลีจึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวฮันนีมูนที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก คู่บ่าวสาวหลายคู่เลือกที่นี่เป็นที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน ด้วยความหลงใหลในเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปวัฒนธรรมบาหลี และความงดงามของภูมิประเทศ ซึ่งยังมีความอุดมสมบูรณ์ มีแนวภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ทางตอนกลางเกาะ มีชายหาดทอดยาวไปตามชายฝั่งให้เลือกทั้งแบบที่สงบเงียบและที่ครึกครื้น มีสีสันมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม 

          พื้นที่ส่วนใหญ่ของบาหลีเป็นภูเขาสูง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะ เป็นแนวภูเขาไฟที่ยังมี "ภูเขากูนุงอากุง" คุกรุ่นอยู่ โดยยอดเขานี้เป็นยอดสูงสุดของเกาะ (3,142 เมตร) พื้นที่ราบของเกาะอยู่ทางตอนใต้ ขณะที่ภาคกลางได้อานิสงส์จากลาวาภูเขาไฟที่เคยระเบิดมาแล้ว จึงมีความอุดมสมบูรณ์กว่าแหล่งอื่น ตามไหล่เขามีการทำนาแบบขั้นบันไดอยู่ทั่วไป โดยบริเวณที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเมือง "อูบุด" ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งบนเกาะ

          การเพาะปลูกและทำนาแบบขั้นบันไดเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเกาะบาหลี แค่นั่งรถชมวิวนาขั้นบันไดที่มีสีสันแตกต่างกันไปตามฤดูกาลไปทั่วเกาะ ก็คุ้มค่าแล้วค่ะ และถ้าใครชื่นชอบสะสมงานศิลปะหัตถกรรม จำพวกผ้าทอพื้นเมือง ผ้าบาติก และการแกะสลักไม้ ซึ่งมีความละเอียดปราณีตสวยงาม ก็สามารถเลือกซื้อเลือกชมกันได้อย่างจุใจในราคาไม่แพง

          แต่ขอบอกก่อนว่าถ้ามาช็อปปิ้งที่นี่จะต้อง "ทำใจ" ในเรื่องการรู้จักต่อรองราคาให้มาก ไม่เช่นนั้นมีโอกาสโดนพ่อค้าแม่ค้าโก่งราคาเอาได้

          สำหรับ อูบุด (Ubud) นอกจากจะเป็นหมู่บ้านที่สวยงามด้วยวิวทิวทัศน์แล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมของเกาะ หากใครเดินทางไปบาหลีแล้วไม่ได้แวะเที่ยวอูบุด แสดงว่ายังไปไม่ถึงบาหลีจริง 




          อูบุด ตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะ เป็นหัวใจของการท่องเที่ยวบาหลี มีทั้งรีสอร์ตหหรูหราไปจนถึงเกสต์เฮาส์และโฮมสเตย์ราคาคืนละไม่กี่เหรียญ แล้วแต่ความสะดวกและรสนิยมในการท่องเที่ยวของแต่ละคน ที่นี่คือแหล่งรวมงานศิลปะทุกประเภท ตั้งแต่โบราณสถาน วัดวาอาราม ศูนย์หัตถกรรม การแสดง มีร้านขายของพื้นเมืองอยู่เต็มไปหมด รีสอร์ตเล็กๆ หลายแห่งนิยมสร้างอยู่ตามนาขั้นบันได ร่มครึ้มเขียวขจีตลอดทั้งปี

          ร้านอาหารพื้นเมืองแถวอูบุด ราคาชาวบ้านที่ดังมากๆ ชื่อ Dirty Duck มีอาหารที่คนไทยกินได้อร่อยหลายอย่าง ถ้าใครชอบอาหารจำพวกแกงมัสหมั่น หมูสะเต๊ะ หรือสลัดแขก รับรองไม่ผิดหวังค่ะ และรอบๆ หมู่บ้านอูบุดนี้มีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวบ้านอยู่ หลายแห่ง ซึ่งชาวบาหลีจะนิยมไปอาบน้ำชำระร่างกายเป็นประจำ แต่อย่าเผลอไปถ่ายรูปเข้านะคะ เดี๋ยวเป็นเรื่อง

          การเข้าไปเที่ยววัดในบาหลี ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าเข้าชม (ประมาณคนละ 1,000-1,500 รูเปียห์) และมีกฎกติกามารยาทที่ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนท้องถิ่น คือผู้หญิงต้องนุ่งโสร่งกรอมเท้า ผู้ชายต้องสวมกางเกงขายาวและมีผ้าคาดเอว แต่ถ้าใครไม่ได้เตรียมผ้าไว้คนเฝ้าวัดจะมีให้ยืม ใครใส่กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นห้ามเข้าวัด

          นอกจากนั้น ยังห้ามไม่ให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนเข้าวัดเป็นอันขาด เพราะชาวบาหลีเชื่อกันว่าพื้นดินภายในบริเวณวัดมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาเหยียบย่ำ

          วัดในศาสนาฮินดูส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า ภายในวัดแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และบริเวณของภูตผีปิศาจ โดยซุ้มประตูทุกแห่งจะมีเอกลักษณ์ของศิลปะบาหลี มีนายทวารบาลนั่งเฝ้าสองข้าง บางทีก็เป็นยักษ์ เทพอสูร หรือครุฑ ในบริเวณวิหารภายในจะมีรูปสลักเทพเจ้าต่างๆ ที่ชาวฮินดูนับถือ เช่น พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ พระพิฆเณศ เป็นต้น

          วัดสำคัญที่ถือว่าเป็น "Mother Temple" ของชาวบาหลี ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องไปให้ถึงก็คือ วัดเบซากิ(Pura Besaki) ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขา มีทางขึ้นสูงลิ่วคล้ายๆ กับบันไดหินของปราสาทเขาพนมรุ้งในบ้านเรา  ระยะทางเดินขึ้นวัดประมาณ 800 เมตรลาดชันไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ บริเวณปากทางมีด่านเก็บเงิน โดยจะคิดค่ากล้องถ่ายรูปและวิดีโอด้วย 

          ในวัดเบซากินี้จะมีวัดเล็กวัดน้อยหลายวัดซ้อนรวมกันอยู่เป็นชั้นๆ เพื่อแบ่งใช้กันตามวรรณะที่แตกต่างกัน โดยส่วนบนสุดมีพื้นที่ใหญ่โตโอ่โถงกว่าที่อื่นใช้ประกอบพิธีทางศาสนา สำหรับชนชั้นวรรณะสูง และห้ามมิให้บุคคลที่ไม่ใช่ฮินดูเข้าไปภายใน

          ระหว่างทางขึ้นชมวัดแห่งนี้จะมีร้านขายของที่ระลึกเรียงรายแออัดตามสองข้างทาง เต็มไปหมด ขอแนะนำว่าให้ขึ้นไปชมวัดก่อนจึงค่อยลงมาซื้อของจะสนุกกว่า โดยเฉพาะท่านที่เดินทางไปหับกรุ๊ปทัวร์ซึ่งมักจะมีเวลาไม่มากนัก

          อีกวัดหนึ่งที่เป็นสุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในการไปถ่ายรูป ชมวิว โดยเฉพาะการซึมซาบบรรยากาศพระอาทิตย์อัศดงยามเย็น คือ วัดทานาห์ลอต (Tanahlot) ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลตะวันตกของเกาะ เป็นวัดที่สร้างขึ้นบนโขดหินคล้ายเกาะเล็กๆ เวลาน้ำขึ้น น้ำทะเลจะท่วมรอบเกาะมองดูเหมือนวัดลอยน้ำอยู่ ถือเป็นวัดริมทะเล 1 ใน 5 แห่งของเกาะบาหลีที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สุดจึงมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาชม จำนวนมหาศาลในแต่ละวัน




          สำหรับผู้ที่หลงไหลกลิ่นไอทะเล หาดทราย สายลม แสงแดด บาหลีก็มีชายหาดที่สวยงามมีชื่อเสียงหลายแห่ง ที่โด่งดังมากๆ เทียบชั้นชายหาดพัทยาของบ้านเราก็คือ หาดกูตา ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินเพียง 2-3 กิโลเมตร ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่เลือกจะพักผ่อนในบรรยากาศชายทะเลก็สามารถหาที่พักแถวนี้ ได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเข้าไปถึงเมืองหลวง 
"เดนปาซาร์"

          จุดเด่นของกูตาคือหาดทรายยาวเหยียดถึง 8 กิโลเมตร เป็นศูนย์รวมความบันเทิงทุกสิ่งในบาหลี  มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้สนุกมากมาย โดยเฉพาะกีฬาชายหาด จำพวกวินด์เซิร์ฟ และการเล่นกระดานโต้คลื่น

          คลื่นที่นี่มีความแรงหลายระดับ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเล่น โดยสามารถหาเช่าอุปกรณ์ได้สะดวก แต่ชายหากกูตามักมีคนพลุกพล่าน อาจจะน่ารำคาญสำหรับคนที่ไม่ชอบความอึกทึกครึกโครมเพราะมักจะมีพ่อค้าแม่ ขายเดินเร่ขายของ เพนต์เล็บ แท็ตทู นวดตัว ฯลฯ ดังนั้นใครชอบความสงบขอแนะนำให้ไปชายทะเลแถวลอมบ็อกค่ะ

          เดือนที่มีอากาศเย็นสบายของบาหลีคือเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม จากนั้นก็เข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่เดือนตุลาคม - มีนาคม ช่วงที่ฝนตกหนักที่สุดคือเดือนธันวาคม และมกราคม จะไปเที่ยวก็วางแผนให้รอบคอบ

บูร์โกส เมืองเล็กเสน่ห์ล้นของสเปน



บูร์โกส เมืองเล็กเสน่ห์ล้นของสเปน (กรุงเทพธุรกิจ)โดย : ธวัชชัย เทพพิทักษ์ ttappitak@gmail.com

           มี บัลยาโดลิด (Valladolid) เป็นเมืองหลวงของแคว้น บูร์โกสยังมีฐานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดบูร์โกสด้วย

           อยู่ห่างจากบัลยาโดลิดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 122 กิโลเมตร และอยู่ทางเหนือของมาดริด 245 กิโลเมตร มีสนามบินเล็กๆ ชื่อ Villafría มีเครื่องบินไป 2-3 เมือง เช่น บาร์เซโลนา แต่มีรถไฟวิ่งไปถึงปารีส ตอนนี้กำลังสร้างรถไฟความเร็วสูง AVE เดินทางจากมาดริดหรือบัลยาโดลิดชั่วอึดใจ บูร์โกส ตั้งอยู่กลางที่ราบกัสติลยาเก่า ก่อตั้งในปี ค.ศ.884 เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันแขกมัวร์ เปรียบเป็นชุมทางในด้านต่างๆ ของสเปนมานับพันปี ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การค้า ศาสนา รวมทั้งเป็นเมืองที่กษัตริย์และผู้นำประเทศชอบมาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมต่างๆ สถานที่สำคัญส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับ โรดริโก เดียซ เด บีบาร์ หรือ เอล ซิด (El Sid) ที่นำกำลังต่อสู้กับแขกมัวร์ (El Sid มาจากภาษาอารบิค Sidi แปลว่าผู้นำ)


           ผมไปบูร์โกสทางบัลยาโดลิดโดยรถยนต์ ผ่านเมืองโน้นเมืองนี้หลายแห่ง เมืองละคืนสองคืน ซึ่งล้วนอยู่ในแคว้นกัสตียา อี เลออน  ชิมไวน์ อาหาร สัมผัสชีวิตผู้คนในชนบทของสเปนมากมาย ส่วนใหญ่ไปชิมไวน์ เพราะอาชีพหลักของผู้คนแถวนี้คือทำไวน์ เจอสาวสวย ตาคม ผมยาว หุ่นเซ็กซี่ราวนางแบบ ไม่น่าเชื่อว่ามีอาชีพเป็นไวน์เมคเกอร์ หรือคนปรุงไวน์ของครอบครัว พยายามกุ๊กกิ๊กๆ อยู่หลายคน เผื่อจะได้เป็นลูกเขยเจ้าของไร่องุ่น แต่ไม่สำเร็จ อิอิ !!

           โรงแรมที่พักชื่อ ปาราดอร์ เดอ เลอร์มา (Parador de Lerma) เมืองเลอร์มา (Lerma)เข้าไปในเมืองบูร์โกสใช้เวลาประมาณ 20 กว่านาที พักที่นี่แล้วสามารถเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ง่าย บริเวณยังเต็มไปด้วยร้านอาหาร ภัตตาคาร ร้านค้า มีทั้งแบบดั้งเดิม และตกแต่งแบบร่วมสมัย มีโอกาสได้ไปดินเนอร์ในห้องอาหารของโรงแรม 1 มื้อ เขาทำอาหารพื้นเมืองอร่อยมาก ส่วนร้านนอกโรงแรมที่ขอแนะนำชื่อ คาซา อเวลิโน (Casa Avelino) เป็นร้านเก่าแก่ มีเมนูดั้งเดิมให้เลือกหลากหลาย

           Parador Lerma อยู่ในเครือ Parador ซึ่งมีโรงแรมในเครือมากมายในสเปนและในยุโรปหลายประเทศ เดิมเป็นวังเก่า ที่ดยุค ออฟ เลอร์มา (Duke of Lerma) สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1601-1617 เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับพระเจ้าฟิลิปที่ 3 (King Felipe III) ผมชอบมากที่ได้ไปเมืองเก่าๆ แบบนี้ เพราะได้นอนในวัง แต่หลายคนก็เจออะไรที่ไม่อยากเจอเหมือนกัน บรื๋อ !!!
           ด้านหน้าของโรงแรมเป็นลานกว้าง เรียกว่า พลาซ่า มายอร์ (Plaza Mayor) กลางวันเป็นสถานที่จอดรถของผู้คนที่ทำงานแถวนั้น รวมทั้งแขกของโรงแรม รอบๆ พลาซ่ามีร้านอาหาร ผับ ตลอดจนร้านขายของมากมาย ช่วงที่ผมไปนั้นตรงกับกลางเดือน พ.ค. กลางคืนอากาศเย็นเฉียบ ลมแรงมาก ลองวัดอุณหภูมิจากนาฬิกาข้อมือ ณ เวลา 4 ทุ่มเศษ อยู่ที่ -5 องศาเซลเซียส หิมะโปรยปรายเป็นฝอย

           ทางโรงแรมต้องปิดประตูใหญ่ด้านหน้าของโรงแรมเอาไว้ ซึ่งเป็นประตูไม้โครงเหล็กขนาดใหญ่ ประตูใหญ่นี้มีประตูบานเล็กสูงขนาด 2 เมตรเศษ เพื่อให้แขกเข้าออก ติดลบขนาดนั้นแถมหิมะโปรยปราย แต่ไม่สามารถยับยั้งบรรดานกฮูกได้ เข้าไปบาร์หรือผับไหนคนเต็มทั้งนั้น เพราะบาร์และผับของสเปนสนุกสนานเฮฮาและมีสีสันมากกว่าผับอังกฤษมากมายนัก

           รุ่งขึ้นเป็นวันพุธ เจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่า ถ้าตื่นไหว ขอแนะนำให้มาเดินชมตลาดนัดกลางสัปดาห์ ซึ่งจัดที่พลาซ่าหน้าโรงแรมนั่นเอง มีชาวบ้านนำสินค้ามาขายมากมาย ชาติเก่าๆ ในยุโรปหลายแห่งจะเป็นแบบนี้ ทุกสัปดาห์ทางการจะให้ 1 วัน ทำเป็นตลาดให้ชาวบ้านขายของ โดยไม่เก็บค่าเช่าที่ หรือเก็บน้อยมาก ผิดกับบ้านเรา ตลาดน้อยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดนัดชุมชน หรือของทางการ บอกว่าเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อย แต่ใต้โต๊ะมหาศาล

           รุ่งเช้าผมต้องไปคนเดียว ไม่มีใครตื่น เพราะอากาศหนาวนอนสบาย เป็นตลาดเล็กๆ แต่มีสีสันแห่งหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมาในหลายๆ ประเทศ พ่อค้าส่วนใหญ่เป็นเจ้าของผลผลิตทางการเกษตร บางคนมือไม้ยังมีเศษดิน เศษหญ้าติดอยู่เลย พืชผักหลายอย่างเหมือนในบ้านเรา เช่น กะหล่ำปลีหัวเบ้อเริ่ม ต้นหอมติดป้ายว่า Puerros ขณะที่ Acelga หน้าตาเหมือนต้นคะน้าต้นเล็กๆ มะเขือเทศลูกเท่ากำปั้น ถั่วแขกยาวกว่าคืบ กล้วยหอมลูกโตแต่ชิมแล้วจืดชืด สู้ของไทยไม่ได้ เป็นต้น นอกนั้นก็มีพวกดอกไม้มากกว่า 40-50 ชนิด งดงามจนนึกอิจฉาและอยากซื้อกลับบ้าน

           สถานที่สำคัญในบูร์โกส ที่เมื่อมาถึงแล้วต้องชมให้ได้มี 3 แห่งคือ
            กาเตดรัลแห่งเมืองบูร์โกส (The Cathedral at Burgos) สุสานของเอล ซิด สร้างในปี ค.ศ.1221 เป็นอาคารทรงโกธิกทำด้วยโลหะผสม โดยพระเจ้าฟิลิปที่ 2 ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานฝีมือระดับ “เทพ“ ที่โดดเด่นเป็นสง่าของเมือง ภายในมีศิลปวัตถุล้ำค่ามากมาย เช่น ปาปามอสกัส นาฬิกาหุ่นกระบอก และรูปปั้นพระคริสต์ ขนาดเท่าคนจริง ทำจากหนังสัตว์และผมมนุษย์ รวมทั้งบันไดทองฝีมือ เดียโก เดซิโอเล กาปียา เดล ตรงกลางปีกขวาของมหาวิหาร เป็นที่ฝังศพเอล ซิด และภรรยา คือฆิเมนา กาเตดรัล เมืองบูร์โกส ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลก (World Heritage Site) เมื่อวันที่ 31 ต.ค.1984

            จากจัตุรัสซานตา มาเรีย ตรงไปยังทางเดินริมแม่น้ำอาร์ลานโซน (Arlanzón) จะพบกับประตูโค้งติดป้อมปืนอาร์โกส เด ซานตา มาเรีย สร้างในศตวรรษที่ 11 และปรับปรุงใหม่ในศตวรรษที่ 16 เพื่อต้อนรับพระเจ้าชาร์ลที่ 5 มีประติมากรรมของพระองค์กับเอล ซิด พร้อมวีรบุรุษคนอื่นๆ เข้าไปอีกนิดจะถึงพลาซ่า ปริโม เด ริเบรา จะมีอนุสาวรีย์เอล ซิด นั่งบนหลังม้าชูดาบมีผ้าคลุมไหล่ปลิวไสว

            ลำดับต่อมา โมนาสเตริโอ เด ลาส อูเอสกัส (Monasterio de las Huelgas) อยู่ทางตะวันตกของใจกลางเมือง ก่อตั้งในปี 1180 โดยกษัตริย์ Alfonso VIII เป็นสำนักแม่ชีที่ทรงอิทธิพลสมัยศตวรรษที่ 12 รับเฉพาะสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น ชีหัวหน้าสำนักมีตำแหน่งรองจากพระราชินีสเปน ซึ่งว่ากันว่า ถ้าสันตะปาปาสามารถสมรสได้ หญิงที่คู่ควรก็คือหัวหน้าสำนักลาส อูเอกัส เท่านั้น ได้รับการยกย่องเป็นสถานที่ที่งดงามแห่งหนึ่งในยุโรปทั้งการออกแบบและรายละเอียดตกแต่ง

           สุดท้าย คาร์ตูฮา เดอ มิราฟลอเรส (Cartuja de Miraflores) อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นอารามที่สร้างโดยกษัตริย์จอห์นที่ 2 (King John II) ในปี 1441 เพื่อเป็นสถานที่สำหรับพิธีพระศพของพระองค์และราชินีชาวโปรตุเกส อิสซาเบล (Isabel) ปี 1452 ถูกไฟทำลายไปเยอะ เริ่มบูรณะใหม่ในปี 1454 โดยฝีมือของ Juan de Colonia และลูกชาย Simon เสร็จในปี 1484 ถูกวิจารณ์ว่าเป็นศิลปะที่ขัดแย้งกันแต่งดงามอย่างยิ่ง เพราะด้านนอกเป็นสไตล์โกธิก ขณะที่ภายในตกแต่งแบบหรูหรา แต่เป็นเสน่ห์ที่ถึงดูดผู้คนได้เป็นจำนวนมาก

           นอกนั้นก็มีโบราณสถานและสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับทั้งบูร์โกส สเปน และยุโรป อีกหลายแห่ง สอบถามได้จากโรงแรมที่พัก เที่ยวเสร็จก็ต้องเติมพลัง มาบูร์โกสถ้าไม่ได้ลิ้มลองจานเด็ดถือว่ายังไม่ครบเครื่อง มีดังนี้ อย่างแรก ลูกหมูย่าง เป็นเมนูยอดนิยมในบูร์โกสและแคว้นคาสติลยา อี เลออน ตามด้วย เลอชาโซ (Lechazo) หรือแกะย่าง ซึ่งจะให้อร่อยต้องใช้แกะที่เพิ่งอดนมหมาดๆ 1 ขา พร้อมสะโพกเข้าไปย่างในเตาคล้ายๆ เตาพิซซ่า เนื้อนุ่มเนียน ผมอยู่ในแคว้นนี้ประมาณ 2 สัปดาห์ กินทุกมื้อค่ำ บางวันแถมมื้อกลางวันจนเห็นแกะข้างถนนแทบจะทักทายภาษาแกะได้ แต่ยอมรับว่าของเขาอร่อยจริงๆ ปรุงได้หลายแบบ แกะที่มีขายในบ้านเราชิดซ้ายไปเลย

           อีกอย่างเป็น สตูหมูกับไส้กรอก ใส่เครื่องเทศเผ็ดนิดๆ ส่วนคนรักเนื้อต้องสั่ง เนื้อแดดเดียวสไตล์ลีออน (Leon) เหนียว นุ่ม เคี้ยวมันปากดี กินกับไวน์แดงเทมปรานิลโย (Tempranillo) ของ ริเบรา เดล ดูเอโร (Ribera del Duero) สุดยอดจริงๆ  ยิ่งดินเนอร์ของพวกสเปนกว่าจะจบก็ราวๆ ตี 3 พอสายๆ เจอพระอาทิตย์ต้องร้องเพลง..ยั่งซิ มันต้องถอน...!!!..ทุกวัน


           พูดถึงไวน์เขตนี้สักหน่อย Ribera del Duero เป็น 1 ใน 9 เขตควบคุมการผลิตไวน์คุณภาพDenominación de Origen (DO) ของแคว้นกาสติลยา อี เลออน ไวน์แดงคุณภาพเยี่ยมราคาแสนแพงของสเปนคือ เวกา ซิซิเลีย (Vega Sicilia) และตินโต เปสกูเอรา (Tinto Pesquera) ก็อยู่ที่นี่


           อีกอย่างที่ต้องลอง มอร์ซิลญา (Morcilla) หรือไส้กรอกเลือดของสเปน มีหลายรูปแบบ แต่ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางต้องเป็นมอร์ซิลญาแห่งบูร์โกส (Morcilla de Burgos) ส่วนผสมหลักคือ เลือดหมู มันหมู ข้าว หัวหอม และเกลือ ถ้าเป็นของ Albacete และ La Mancha จะไม่ใส่ข้าว แต่ใส่หัวหอมมากขึ้น บางแห่งใส่อัลมอนด์ ลูกสน ฯลฯ ในโปรตุเกสไส้กรอกเลือดเรียกว่า มอเซลา (Morcela) สีออกดำๆ ทำจากเลือดวัว มันหมู หัวหอม กระเทียม และพริก

            ชีสสด บูร์โกส (Fresh Burgos Cheese) เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องลิ้มลอง ทำจากนมแกะเป็นชีสสด นุ่ม และมีน้ำฉ่ำๆ ได้ชื่อว่าเป็นชีสระดับคุณภาพของแคว้น Castilian y León นอกจากสีขาวเหมือนน้ำนมแล้ว ยังหอมกลิ่นนมด้วย เปรี้ยวนิด เค็มหน่อย นิยมเสิร์ฟหลังอาหาร

            ซาลมาเรโฮ (Salmorejo) เป็นซุปเย็นชื่อดังประจำถิ่น ทำจากเปลือกมะเขือเทศ ขนมปัง กระเทียม น้ำมันมะกอก และเวนิการ์ เวลาเสิร์ฟจะโรยแซร์ราโน แฮม และไข่ต้ม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ซาลมาเรโฮจะมีสีส้มปนชมพูเหมือน กาสปาโช (Gazpacho) ซุปเย็นชื่อดังของสเปน แต่ซาลมาเรโฮสีเข้มข้นกว่าเพราะไข่ขนมปัง ผมเคยกินซุปชนิดนี้บนเกาะ Canary เขาใส่เนื้อกระต่ายด้วย

            ปุลปิโตส (Pulpitos) เป็นอีกจานที่ผมชอบมาก ปลาหมึกตัวเล็กๆ (Little Octopi) ปรุงกับหัวหอม มันฝรั่ง ไส้กรอกเลือดสีขาว และเครื่องเทศอีกหลายอย่าง รสออกหวานปะแล่มๆ เหยาะเกลือลงไปนิดอร่อยมาก

            บูร์โกส เป็นเมืองเล็กๆ แต่มีเสน่ห์เย้ายวนล้นเหลือไม่แพ้เมืองอื่นๆ ของสเปน ทั้งด้านสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน ไวน์ และวิถีชีวิตของผู้คนที่มีรากเหง้ามาเป็นพันๆ ปี

ชิราคาวา-โก หมู่บ้านในตำนาน



ชิราคาวา-โก



"ชิราคาวา-โก" หมู่บ้านในตำนาน (เดลินิวส์)
          ภาพหมู่บ้านหลังคามุงหญ้าที่มีเพียง 10 หลังคาเรือน ซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี อาจเหลือเพียงแค่ความทรงจำ เพราะสภาพอากาศที่เลวร้ายซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิต ทำให้กลุ่มชนชาวไฮคิ (Heiki) ที่เคยอพยพจากเกียวโต ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น ตัดสินใจทิ้งถิ่นฐานอีกครั้ง

          ณ ที่ราบเชิงเขาฮาคูซานอันศักดิ์สิทธิ์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ตัดสินใจที่จะซื้อที่ดินในบริเวณนี้ไว้ ด้วยความตั้งใจที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงอยู่ โดยจัดตั้งสถาบันสิ่งแวดล้อมโตโยต้าชิราคาวา-โกขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชื่อหมู่บ้าน แม้จะอนุรักษ์ผืนป่าโดยรอบเอาไว้แต่หมู่บ้านเล็ก ๆ ตรงนั้นกลับเหลือเพียงตำนาน แต่ใช่ว่าบ้านโบราณแบบที่เคยเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นแนวย้อนยุคจะไม่มีหลงเหลือให้เห็น

          ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น ห่างจากเมืองทาคายามาไปราว 50 กิโลเมตร ที่นี่คน 600 คน ยังคงใช้ชีวิตในหมู่บ้านที่ชื่อโอกิมาชิ (Ogimachi) ส่วนหนึ่งของชิราคาวา-โก ที่อยู่ริมแม่น้ำโชกาว่า (Shogawa) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่มีชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1995 โดยมีบ้านแบบญี่ปุ่นกลางใหม่กลางเก่ากับบ้านแบบกัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) ผสมปนเป กันอยู่

          บ้านแบบกัสโชสึคุริ เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" มีความหมายว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอก ถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู
          เพราะมีองค์ประกอบหลักของบ้าน  แต่ละหลังเป็นไม้และฟางข้าว สิ่งที่ควรระวังเป็นอันดับหนึ่งของชุมชนนี้ก็คือเรื่องไฟ และการสูบบุหรี่ถือเป็นหนึ่งในข้อห้ามเช่นเดียวกับการจุด พลุ เพราะบ้านแต่ละหลังจะต้องต่อสู้กับศัตรู 3 แบบคือ การเสื่อมโทรมตามกาลเวลา ไฟ และหิมะ

          การร่วมแรงร่วมใจกันซ่อมแซมหลังคาจากผู้คนในหมู่บ้านซึ่งเรียกกันว่า ยูอิ (Yui) เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่ในชิราคาวา-โก เพราะนี่คือหนึ่งในปัจจัยที่จะรักษามรดกโลกอันล้ำค่านี้ไว้ หลังฤดูเกี่ยวข้าวสิ้นสุดลงก่อนที่ท้องฟ้าอันสดใสและอากาศกำลังเย็นสบายของฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านเข้าสู่ฤดูหนาว พวกเขาจะลงแรงกันอย่างแข็งขันเพื่อเปลี่ยนหลังคาให้เสร็จภายใน 4 วัน โดย 3 วันแรกจะเป็นการถอดเอาหลังคาเก่าออก และจะใส่หลังคาใหม่เสร็จภายในเวลาเพียง 1 วัน

          ขณะที่การระวังไฟจะมีการแต่งตั้งหน่วยลาดตระเวนออกตรวจตรารอบ ๆ บริเวณหมู่บ้านอยู่อย่างสม่ำเสมอ และในบางครั้งการฉีดน้ำด้วยสปริงเกอร์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นของหมู่บ้านแห่งนี้ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่แวดล้อมด้วยความชุ่มชื้นจากผืนป่า และละอองน้ำจากสายน้ำสีเขียวมรกตที่อยู่เบื้องล่าง

          ส่วนในช่วงฤดูหนาวภายใต้ภาพความสวยงามของหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนนั้น นี่กลับเป็นอีกห้วงเวลาที่ชุมชนต้องต่อสู้กับธรรมชาติ ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมหนาถึง 2-3 เมตร พวกเขาจำเป็นต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อกวาดหิมะลงมาเพื่อไม่ให้มันมาเกาะแน่นจนทำให้หลังคาฟางข้าวกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง

          แต่ใช่ว่าจะมีแต่การต่อสู้กับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บเท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกันนี้โดยเฉพาะในคืนวันเสาร์ของเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ หมู่บ้านแห่งนี้จะเปิดไฟที่ประดับตกแต่ง เพื่อเผยให้เห็นมนต์เสน่ห์แห่งความ สวยงามในยามค่ำคืน
          ขณะที่กระแสลมแรงขนาดไต้ฝุ่นหรือน้อยกว่าไม่เคยส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำ เพราะบ้านเรือนที่ตั้งโดยหันหลังคาไปทางทิศตะวันตกและตะวันออกนั้น จึงทำให้ปลอดภัยจากกระแสลมที่พัดจากเหนือลงใต้ไปตามลำน้ำ

          ก่อนศตวรรษที่ 16 ในบริเวณนี้ เคยมีบ้านแบบกัสโชเพียง 50 หลัง จนมาถึงช่วงปลายสมัยเอโดะเพิ่มขึ้นเป็น 80 หลัง ก่อนจะเพิ่มขึ้นรวมกันแล้วกว่า 100 หลังในช่วงกลางสมัยเมจิ โดยมีถนนสายเล็ก ๆ เชื่อมโยงหมู่บ้านทั้งหมดไว้ด้วยกัน จนในปี ค.ศ. 1890 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดถนนมายังหมู่บ้านแห่งนี้ นับตั้งแต่นั้นแบบสไตล์ญี่ปุ่นแบบใหม่ก็เริ่มเกิดขึ้น ปัจจุบันมีบ้านแบบกัสโชดั้งเดิมอยู่ในเขตชิราคาวา-โกทั้งสิ้น 113 หลัง และบ้านสไตล์ญี่ปุ่นอีก 329 หลัง

          การเยี่ยมเยือนโอกิมาชิแบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเพียงครึ่งวันหรือหนึ่งวัน อาจไม่ทำให้สัมผัสความงดงามของหมู่บ้านนี้ได้เต็มที่ หลายคนจึงเลือกที่จะพักค้างคืนในหมู่บ้านอันเงียบสงบเพื่อใช้เวลาในการสำรวจชีวิตและ ความเป็นไปที่ยังคงอยู่ราวกับเข็มนาฬิกาไม่เคยหมุน แต่หากมีเวลาเพียงเล็กน้อย บ้านวาดะเกะ (Wadake) บ้านฟูรูซาโต (Furusato) และวัดเมียวเซนจิ ซึ่งสร้างขึ้นจากไม้และฟางข้าวเช่นกัน น่าจะเป็นจุดสำคัญที่ต้องแวะเข้าไปเยี่ยมชม แม้ว่าอาจจะต้องจ่ายค่าเข้าชมอีกคนละ 300  เยนก็ตาม 
          นอกจากค่าเที่ยวชมแล้ว บางคนอาจต้องสลายเงินเยนไปกับของที่ระลึกน่ารักสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งมีขายเฉพาะในเขตนั้น ๆ ไอศกรีมหลากหลายรสที่มีโมเดลคอยยั่วยวนให้น้ำลายหก หรือ เต้าเจี้ยวหมักหมูย่างบนใบไม้ สูตรเฉพาะของชิราคาวาที่มีโอกาสได้ลิ้มลอง

ตลาดปลา ปูซาน เกาหลี-วิถีดั้งเดิม



ปูซาน



"ตลาดปลา" ปูซาน เกาหลี-วิถีดั้งเดิม (ข่าวสด)

โดย  สมรัก บรรลังก์

           อัน-ยอง-ฮา-เซ-โย ขอเริ่มทักทายเป็นภาษาเกาหลี ที่แปลว่า สวัสดี ก่อนจะพาทัวร์อีกมุมของเกาหลี ใต้ ที่เมือง "ปูซาน" ทางตอนใต้ของเกาหลี

           ปูซาน เมืองท่าที่สำคัญและเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศเกาหลีใต้ เชื่อมโยงกับเมืองอื่นๆ ได้โดย รถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน

           สนามบินนานาชาติ ปูซาน คิมเฮ (Pusan Kimhae) รองรับผู้โดยสารได้ปีละ 15 ล้านคน มีเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยัง 10 เมืองสำคัญใน 7 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ไทย ไซปัน ฯลฯ

           ที่สำคัญ เมืองปูซานมีท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามไปประเทศญี่ปุ่นโดยตรง และถือเป็นเมืองหน้าด่านสู่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฮัลยอ อันเป็นอุทยานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเกาหลี เนื่องจากเป็นสถานที่ที่นายพลอีซุนชิน เอาชนะกองทัพเรือญี่ปุ่นหลายครั้งในช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นรุกรานเกาหลี

           เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ผสมผสานกับความทันสมัยที่ประกอบไปด้วยโรงแรมและร้านอาหารชั้นหนึ่ง

           รวมทั้งมีแหล่งช็อปปิ้งที่หลากหลาย หาดทรายที่สวยงาม (จากการถมทะเล) และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย

           เป้าหมายหลักของการเดินทาง เพื่อไปร่วม เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมือง ปูซาน ซึ่งเป็นเทศกาลที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี

           เพราะภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้รับเกียรติ ให้ไปฉายในงานนี้ จัดในช่วงระหว่างเดือนกันยายนและตุลาคมของทุกปี ณ โรงละครนัมโป-ดอง (Nampo-dong) และเวทีกลางแจ้งบริเวณอ่าวซูยองมัน (Suyeongman)

           ในเทศกาลนี้ มีภาพยนตร์กว่า 200 เรื่องจาก 60 ประเทศทั่วโลกให้ชม นอกจากนั้น ยังมีงานเทศกาลชายหาดของเมืองปูซาน ณ หาดกวานกัลลี (Gwangalli) ที่จะเริ่มในเดือนสิงหาคมของทุกปี

           เทศกาลนี้จะได้ชมการแสดง การเต้นโชว์ การแสดงดนตรี การแสดงของวงออร์เคสตร้า รวมไปถึงการเล่นกีฬาทางน้ำ เช่น วินด์เซิร์ฟ และการเล่นเรือใบ ฯลฯ

           จุดขายขึ้นหน้าขึ้นตาของเมืองปูซาน คือ "เทศกาลปูซานชากัลชิ" (Pusan Jagalchi Festival) หรือ "เทศกาลอาหารที่ตลาดชากัลชิ" จัดขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกๆ ปี ณ ถนนกวางบองโน (Gwangbongno) ใน เขตนัมโปดอง

           เทศกาลนี้มีกิจกรรมมากมาย อาทิ การสาธิตการลอกหนังปลาไหลและการแล่เนื้อปลา ของเหล่าบรรดาแม่ค้า

           รวมถึงโปรแกรมพิเศษ ที่ทางตลาดได้จัดให้นักท่องเที่ยวทุกคน โดยเฉพาะ คือการให้ทุกคนเข้าร่วมการจับปลาในถังด้วยมือเปล่า ยกเว้นการแข่งขันทำอาหารเกาหลี ซึ่งมีไว้สำหรับชาวต่างชาติเท่านั้น

           นอกจากนั้น ยังมีการแข่งขันทำครัวด้วยเนื้อปลา และการแข่งขันเรียกชื่อปลาเพื่อทดสอบความรู้ด้าน "โฮ" หรือ ปลาสด
ปูซาน


           ที่พลาดไม่ได้สำหรับนักชิมก็คือ มีอาหารทะเลสดๆ ขายในราคาพิเศษในระหว่างเทศกาลให้เลือกชิมกันอย่างจุใจเลยทีเดียว

           คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า ที่นี่คือสถานที่แห่งเดียวในเกาหลีใต้ที่ผู้ชื่นชอบอาหารทะเล จะได้เลือกปลาสดคุณภาพดีที่สะพานปลาในถังปลาแบบเป็นๆ ด้วยตนเอง

           ไฮไลต์ของเทศกาลคือ พิธีบูชาเทพของชาวประมง เรียกว่า ยอง-วังกุต (Yong-wanggut) ซึ่งเป็นการสวดอ้อนวอนของชาวประมงต่อราชามังกรแห่งท้องทะเล ขอให้คุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยในการเดินเรือและจับปลาได้มากๆ

           และการแสดงของวงดนตรีเครื่องเคาะจังหวะ "ปุงมุลโลริ" (pungmullori) ซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถเข้าร่วมแสดงได้

           ตลาดปลาแห่งนี้อาจจะไม่คุ้นหูคนไทยมากนัก ถ้าเทียบกับสถานที่ช็อปปิ้งชื่อดังอื่นๆ ของเกาหลีใต้

           "ชากัลชิ" มาจากคำ 2 คำที่ผสมกันคือ "ชากัล" ซึ่งมีความหมายว่า ก้อนหินเล็กๆ และ "ชิ"หมายถึง คำเรียกชาวเกาหลีที่เชื่อว่ามีเชื้อสายที่บริสุทธิ์ในหมู่บ้านชายฝั่งทะเล

           ดังนั้น ชากัลชิ จึงเป็นการตั้งชื่อตามอาณาบริเวณที่ตั้ง เนื่องจากสมัยก่อนที่ตลาดชากัลชิแห่งนี้จะมีก้อนหินเล็กๆ จำนวนมากทั่วบริเวณชายฝั่ง รวมถึงมีหมู่บ้านเก่าแก่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

           มีโอกาสได้ไปเยือนตลาดปลาชากัลชิ ซึ่งแม้จะไม่ใช่หน้าเทศกาล "ปูซานชากัลชิ" แต่ตลาดแห่งนี้ก็ยังมีความคึกคักให้เห็น ที่นี่จะมีทั้งร้านจำหน่ายปลาสดและปลาแห้ง รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากท้องทะเลอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

           ที่นี่มีปลาทะเลเกือบทุกชนิด หอยประเภทต่างๆ สัตว์น้ำและพืชน้ำ อีกนานาชนิด นับเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ ซึ่งอำนวยประโยชน์และเป็นแหล่งจัดส่งผลิตภัณฑ์จากทะเลเป็นตันๆ ในแต่ละวันออกสู่ตลาดทั้งในเกาหลีใต้เองและต่างประเทศ

           ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือปูซาน ภายในตลาดจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ อาหารทะเลสดและอาหารทะเลตากแห้ง โดยอาหารทะเลสดจะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของตลาด และอาหารทะเลตากแห้งจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกของตลาด

           ใครชอบแบบไหนก็สามารถเลือกเดินเลือกซื้อกันได้ตามสบาย

           ในตลาดแห่งนี้ จะมีเสียงตะโกนของ ชากัลชิ อาจุมม่า (Jagalchi Ajuma) หรือที่แปลเป็นไทยว่า "ป้าคนขายที่ตลาดชากัลชิ" ซึ่งคำว่า "อาจุมม่า" ในภาษาเกาหลีจะใช้เรียกผู้หญิงที่มีอายุและแต่งงานแล้ว ดังเซ็งแซ่ตลอด

           ป้าๆ เหล่านี้ กำลังต่อรองราคาสินค้ากับคนซื้อ ที่ตลาดแห่งนี้มีอาจุมม่าทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าบุคลิกภายนอกของป้าๆ เหล่านี้จะดูเข้าถึงยากและดุไปนิด แต่เมื่อได้ลองเข้าไปคุยและสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของป้าแล้ว คุณจะรู้ว่าพวกเธอเป็นคนที่ใจดีและอ่อนโยนมากทีเดียว

           แต่ที่บุคลิกภายนอกของพวกเธอเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าพวกเธอต้องทำงานหนักมาก ตั้งแต่เอาปลาและของทะเลอื่นๆ ขึ้นจากเรือ ทำความสะอาด รวมถึงแช่แข็งและแพ็กของลงลังเพื่อเตรียมส่งออกไปจำหน่ายทั่วประเทศ และยังต้องเตรียมของขายหน้าร้านที่ตลาดอีกด้วย

           สิ่งที่น่านับถือยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเธอทุกคนถือคติที่ว่า "ความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ต่อลูกค้าต้องมาเหนือสิ่งอื่นใด" ดังนั้น เมื่อลูกค้ามาซื้อของที่นี่รับรองว่าจะได้สิ่งที่ดีที่สุดกลับบ้านไป

           ตลาดชากัลชิแห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอันดับหนึ่งเวลาที่ได้มาเยือนปูซาน เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้เห็นผลิตผลทางทะเลสารพัดชีวิต

           ยิ่งยามเช้าตลาดจะคึกคักมากเป็นพิเศษและมีชีวิตชีวา เพราะจะมีการซื้อขายและต่อรองราคาอาหารทะเลกัน

           สมัยก่อนภายในบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยก้อนหินเล็กๆ มากมาย จนเป็นที่มาของชื่อตลาด แต่ในขณะนี้ตลาดได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยคอนกรีต มีเนื้อที่ขนาดใหญ่และล้อมรอบด้วยอาคารต่างๆ มากมาย

           แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตของคนที่ตลาดแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป ชาวปูซานที่นี่ยังคงดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของตัวเองเหมือนเดิม

           วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่มีเสน่ห์เข้มข้นของคนปูซาน ส่วนหนึ่งอยู่ที่ ตลาดชากัลชิ

           ใครได้มาเยือน จะเก็บความประทับใจกลับไปและจะไม่ลืมเลย

นิวซีแลนด์ แดนในฝัน



นิวซีแลนด์ ดินแดนในฝัน (Lisa)

          เกาะสวรรค์ที่ท้าทายให้นักผจญภัยต้องมาเยือน ภูเขาไฟสูงใหญ่ ป่าดงดิบเขียวขจี ทะเลสาบสีฟ้าคราม เป็นความงามของเกาะแห่งนี้ 

          ประเทศนิวซีแลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 103,700 ตารางไมล์ และมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 3,819,762 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวผิวขาว สืบเชื้อสายมาจากอังกฤษ ซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานในปี พ.ศ.2340 เพื่อทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และแสวงหาทองคำ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของนิวซีแลนด์ คือ ชนเผ่าเมารี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวโพลินีเซียน
          นิวซีแลนด์มี 2 เกาะใหญ่ คือเกาะเหนือและเกาะใต้ และเกาะเล็กเกาะน้อยอีกหลายเกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ มีช่องแคบคุกกว้างประมาณ 20 ไมล์ คั่นอยู่ระหว่างเกาะเหนือและเกาะใต้ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาซึ่งมีประมาณ 220 ลูก และเป็นภูเขาที่มีความสูงมากกว่า 2,280 เมตร นอกนั้นเป็นที่ราบสูงโดยส่วนใหญ่ และมีภูเขาไฟที่สูงใหญ่มาก นิวซีแลนด์จึงเป็นประเทศที่ยังคงมีธรรมชาติของป่าเขา และมีทิวทัศน์ที่สวยสดงดงามของป่าดงดิบที่เขียวขจีด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมาย รวมทั้งทะเลสาบสีฟ้าครามงามตา สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของนิวซีแลนด์ก็คือ นกกีวี

 

          เกาะเหนือ

          เกาะเหนือยังมีภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่ 3 ลูก คือภูเขารัวเปฮู ซึ่งมีความสูงที่สุด 2,791 เมตร รองลงมาคือภูเขาเนารูโฮอี (สูง 2,297 เมตร) และภูเขาทองงาริ (สูง 1,968 เมตร) ส่วนภูเขาไฟที่มอดดับแล้วอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะคือภูเขาทารากิ มีความสูง 2,518 เมตร บนเกาะเหนือมีแม่น้ำไหลผ่านหลายสายซึ่งส่วนมากไหลไปทางทิศตะวันออกและส่วนกลางของภูเขา "แม่น้ำไวคาโต้" เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของนิวซีแลนด์ มีความยาว 425 กิโลเมตร ไหลมาจากทะเลสาบเทาโป ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์  

          ใครก็ตามที่ได้ไปเที่ยวดินแดงแห่งนี้ ไม่ควรพลาดที่จะไปเที่ยวชม "เบย์ออฟเพลนตี้" (Bay of Plenty) เพราะที่นี่มีไร่กีวีมากมาย จนขึ้นชื่อว่า ประเทศกีวี เป็นผลไม้เปลือกสีน้ำตาล มีวิตามินซีสูง ช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่ต้นโปฮุตุกาวา (Pohutkawa) ผลิดอกสีแดงอมแสดบานสะพรั่งเต็มต้น จนข่มทะเลสีครามของเกาะเหนือให้ด้อยลงไป

 

          เกาะใต้
          เป็นเกาะที่มีภูมิอากาศไม่แน่นอนมีเมืองเวลลิงตันเป็นเมืองหลวง สามารถนั่งเรือข้ามไปมาระหว่างสองเกาะ ภูเขาที่สำคัญของเกาะใต้ก็คือ "ภูเขาแอลป์" ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปจรดทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และมียอดเขา 18 ลูก ที่มีความสูงมากกว่า 3,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาคุก มีความสูงถึง 3,764 เมตร หิมะปกคลุมตลอดปีเหมือนสวมมงกุฎเพชรสีขาวสะท้อนแสงแพรวพราวอยู่บนยอดเขา


          สถานที่ท่องเที่ยว
          มีฟาร์มปศุสัตว์ที่สำคัญๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมมากมาย เช่น วอลเตอร์ พีค ฟาร์ม เพื่อชมสุนัขต้อนแกะ และสัตว์ต่างๆ ในฟาร์ม ถ้าหากว่าชอบธรรมชาติก็ไม่ควรพลาดไปชม "วนอุทยานแห่งชาติเมาท์คุก" เพราะที่นี่มีทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของยอดเขาเมาท์คุก ประกอบไปด้วยลานหิมะและธารน้ำแข็ง บนยอดเขาปกคุลมไปด้วยหิมะขาวโพลน สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจใน "เมืองโอ๊คแลนด์"คือ "พิพิธภัณ์โลกใต้ทะเลเคลลี ทาร์ลตัน" และ "ยอดตึก Sky Tower" ที่สูงที่สุดในแถบใต้เส้นศูนย์สูตร

          เกาะแสนโรแมนติกแห่งนี้ยังคงเป็นที่เขียวชอุ่มชุ่มขจีด้วยต้นไม้ หิมะปกคลุมเทือกเขา และไม่เคยขาดรอยเท้าที่ไปเยือน

อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม



อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม

อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม




อุยกูร ชาวทะเลทราย ผู้ทรนง บนทางสายไหม (กรุงเทพธุรกิจ)
โดย  จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์

          ทางสายไหม นับเป็นเส้นทางเก่าแก่ เชื่อมโยงโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน

          ทางสายไหมมิใช่เป็นเส้นทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงชุมชน เมือง สังคมวัฒนธรรม และเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายที่ประสานสัมพันธ์กันบนเส้นทางเก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

          ในบรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่บนทางสายไหม ชาวอุยกูร (Uyghur) นับเป็นประชาชาติเก่าแก่ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเส้นทางสายไหมมายาวนานหลายศตวรรษ  สันนิษฐานว่าชาวอุยกูรมีถิ่นฐานเดิมแถบเทือกเขาอัลไต เป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มชนเร่ร่อนชาติพันธุ์เตอร์ก (Turkic ethnic group) ซึ่งตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ตั้งแต่เขตแดนตะวันตกของจีน ไปจนถึงแถบทะเลสาบแคสเปียน  
          ราว ค.ศ.744 ชาวอุยกูรได้สถาปนาอาณาจักรของพวกเขาขึ้น โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เอเชียกลาง ตั้งแต่ทะเลสาบแคสเปียนทางตะวันตกถึงแมนจูเรียทางตะวันออก

          ในยุคนี้ราชวงศ์ถังของจีนได้อาศัยความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรอุยกูรเพื่อขยายการค้าบนเส้นทางสายไหม จนทำให้ชาวอุยกูรมั่งคั่งร่ำรวย กระทั่งถึง ค.ศ.840 อาณาจักรเข้าสู่ยุคเสื่อม เนื่องจากเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพงและสงครามภายใน จึงถูกชนชาติคัยร์กิย์ซ (Kyrgyz) ซึ่งเคยอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรอุยกูรบุกเข้าทำลายเมืองหลวง

          จากนั้นชาวอุยกูรต้องอยู่ภายใต้อำนาจของชนกลุ่มต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมามีอิทธิพล ได้แก่ พวกจีนฮั่น พวกเตอร์กเผ่าต่างๆ รวมทั้งมองโกล แม้จะอยู่ใต้อิทธิพลของชนชาติอื่น แต่ชาวอุยกูรก็ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีดินแดนของตนเองเรื่อยมาโดยเฉพาะจีนซึ่งขยายอิทธิพลเข้ามาควบคุมดินแดนอันเป็นถิ่นฐานของชาวอุยกูรตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หยวน 

          ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง จักรพรรดิจีนได้ส่งกองทัพเข้ายึดครองดินแดนทางตะวันตกซึ่งรวมทั้งถิ่นที่อยู่ของชาวอุยกูร ทำให้ชนพื้นเมืองก่อการจลาจลถึง 42 ครั้ง

          กระทั่งถึง ค.ศ.1864 ชาวอุยกูรประสบความสำเร็จ ตั้งรัฐอิสระของตัวเองในนามอาณาจักรกัชคาเรีย (Kashgaria Kingdom)
          ต่อมาใน ค.ศ.1884 กองทัพชิงผนวกดินแดนของชาวอุยกูรเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ที่เรียกว่า"หุยเจียง" (Hui Jiang) หมายถึงดินแดนของมุสลิม ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ซินเจียง" (Xingjing) หมายถึง "เขตแดนใหม่"
          ชาวอุยกูรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งแผ่ขยายเข้าสู่เส้นทางสายไหมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 และขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-11 ชนเชื้อสายเตอร์กเผ่าต่างๆ ได้หันมานับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งชาวอุยกูร ศาสนาอิสลามเข้าไปผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมของชนเร่ร่อนเกิดเป็นแบบแผนอันเป็นเอกลักษณ์สืบเนื่องต่อมา

          ปัจจุบันชาวอุยกูรตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในเขตประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในดินแดนเตอร์กิสถานตะวันออก ซึ่งจีนคอมมิวนิสต์ได้ผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐ

          ชาวอุยกูรได้จัดตั้งองค์กรใต้ดินเพื่อปลดแอกตนเองจากการปกครองของจีนและจัดตั้งรัฐอิสระที่เรียกว่า "อุยกูรสถาน" (Uyghurstan) หรือเตอร์กิสถานตะวันออก เป็นที่มาของความขัดแย้งกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์อยู่เป็นระยะๆ

          การค้นพบทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่ามากมายทำให้รัฐบาลจีนเข้าไปควบคุมซินเจียงอย่างเข้มงวด ประมาณว่ามีปริมาณถ่านหินและน้ำมันปิโตรเลียมในเขตนี้ถึง 1 ใน 3 ของปริมาณทั้งหมดของจีน
          บ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในซินเจียง มีเนื้อที่ประมาณ 74,000 ตารางกิโลเมตร แหล่งสำรองน้ำมันปิโตรเลียมราว 20,800 ล้านตัน และทรัพยากรก๊าซธรรมชาติมากกว่า 10,000,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 30% ของทรัพยากรน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติทางบกทั้งหมดของจีน นอกจากนี้ทรัพยากรถ่านหินของซินเจียงยังมีกว่า 2 ล้านล้านตัน คิดเป็น 40% ของถ่านหินทั้งหมดของจีน

          ผลประโยชน์มากมายมหาศาล ของดินแดนอันเปรียบเสมือนทะเลแห่งโภคทรัพย์นี้กระมัง ที่ทำให้ชาวอุยกูรยังคงต้องรอคอยความหวังแห่งอิสรภาพต่อไป 

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์


เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          นอกจากทะเลแสนสวยของ “สาธารณรัฐมัลดีฟส์” จะเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว เมืองหลวงของที่นี่ยังขึ้นชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงขนาดเล็กที่สุดในโลก” ด้วยพื้นที่เพียงแค่ 5.8 ตารางกิโลเมตรเช่นกัน โดยมันเป็นบ้านของประชากรกว่า 1 แสนคน และอยู่ในเกาะมาเล (Male) ทางตอนใต้ของหมู่เกาะคาฟุ ซึ่งเหตุผลที่มีพื้นที่เล็กขนาดนี้ก็เป็นเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหมู่เกาะจึงไม่มากพอจะจัดสรรเป็นเมืองใหญ่ได้นั่นเอง และนั่นก็ทำให้ประชากรในเมืองนี้ค่อนข้างจะแออัดอยู่สักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการคมนาคมของประเทศ

          ซึ่งในอดีตเกาะมาเล คือ เกาะของกษัตริย์ที่ราชวงศ์เก่าแก่ในสมัยก่อนอาศัยอยู่ จึงมีการสร้างปราสาทรวมทั้งป้อมปราการเอาไว้ที่นี่ด้วย และเคยถูกเรียกว่าเมืองมาฮาลมาก่อน แต่เมื่อ อิบราฮิม นาเซอร์ ประธานาธิบดีขึ้นปกครอง ก็ได้มีการทำลายปราสาทและป้อมกำแพงทิ้ง คงเหลือไว้แต่เพียง Male' Hukuru Miskiy สุเหร่าเก่าแก่อันงดงาม

          โดยอาคารบ้านเรือนในกรุงมาเลตั้งชื่อได้น่ารักเข้ากับบรรยากาศสุด ๆ จนเรามองแล้วพลอยอารมณ์ดีไปด้วยตลอดทาง เพราะทุก ๆ หลังถูกตั้งชื่อเอาไว้เสียเพราะและเหมาะกับบรรยากาศรอบข้าง ยกตัวอย่างเช่น สายลมทะเล (Sea-Breeze), กระท่อมแสงตะวัน (Sunshine Lodge), ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต (Forget-Me-Not) และบ้านแสนสุขชั่วนิรันดร์ (Always Happy House) ที่มองแล้วอดยิ้มตามไม่ได้จริง ๆ

          ส่วนกิจกรรมนั้นก็มีทั้งการช้อปปิ้งตามร้านค้ามากมายไว้เอาใจสาวนักช้อปทั้งหลาย โดยมีครบครันไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ เสื้อผ้า ไปจนถึงของที่ระลึก ส่วนคุณผู้ชายก็สามารถสนุกกับการโต้คลื่น ซึ่งคนท้องถิ่นที่นี่ได้สร้างกระท่อมสำหรับนักเซิร์ฟไว้นั่งพักนักมองเกลียวคลื่นเอาไว้ด้วย คุณจึงมั่นใจว่าจะได้ชมทะเลสบาย ๆ และพักผ่อนอย่างเต็มที่แน่นอน

          ส่วนเรื่องอาหารการกินในเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลกก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะที่นี่มีอาหารทะเลสดอร่อยที่มาจากทะเลโดยตรงอยู่แล้ว ซึ่งเมนูประจำท้องถิ่นที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ พวกอาหารทานเล่นพอดีคำที่ทำมาจากปลาและมะพร้าวเป็นหลัก และมีขนมปังโรชิขนมปังประจำท้องถิ่นไว้เป็นเครื่องเคียงกินคู่กับอาหารอื่น ๆ ด้วย

          แหม...ในเมื่อที่นี่มีกิจกรรมรวมทั้งสถานที่เที่ยวครบครันขนาดนี้ ดังนั้น หากมีวันหยุดเมื่อไหร่อย่าลืมไปสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคนสำคัญของคุณ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือคนรักดูนะคะ เพราะการท่องเที่ยวพักผ่อนจะช่วยเติมเต็มให้ชีวิตมีสีสันและคุ้มค่ามากขึ้นได้แน่นอน


เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก กรุงมาเล สาธารณรัฐมัลดีฟส์

ปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก



รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          คุณกำลังมองหาสถานที่ใหม่ ๆ ที่พิเศษมากพอจะควงแขนคนรักไปพักผ่อนสวีทหวานด้วยกันได้อยู่รึเปล่า ถ้าอยากให้ทริปฮันนีมูนของคุณโรแมนติกน่าประทับใจล่ะก็ จะมีอะไรดีไปกว่าการชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติรูปหัวใจที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักอีกล่ะ รับรองว่ามันจะเป็นสถานที่สุดพิเศษที่ช่วยให้คุณมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคนรักได้แน่ ๆ หรือจะใช้เป็นสถานที่ขอแต่งงานก็ยังได้ ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวม 10 แหล่งท่องเที่ยวรูปหัวใจบนผืนธรรมชาติมาเป็นตัวเลือกให้คุณแล้วค่ะ


1. New Caledonia, ประเทศฝรั่งเศส

          นับว่ารูปหัวใจบนผืนป่าแห่งนี้มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยผู้ที่ทำให้มันมีชื่อเสียงก็เริ่มมาจาก ยาน อาร์ธัส เบอร์แทรนด์ ช่างภาพที่เอารูปนี้ไปขึ้นปกหนังสือ Earth From Above ของตัวเอง จนคนพากันมาดูให้เห็นกับตาตัวเองว่ามันสวยน่าทึ่งขนาดไหน โดยมันเป็นรูปหัวใจที่ไล่สีเหมาะเจาะ มีขอบสีเขียวด้านนอกและพื้นที่สีส้มด้านใน

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก Yann Arthus Bertrand


2. Heart Reef, ประเทศออสเตรเลีย

          แนวปะการังรูปหัวใจที่ เกรท แบริเออร์ รีฟ นี้ไม่ได้มาจากฝีมือการปั้นแต่งของมนุษย์แต่อย่างใด แต่มาจากผลงานของธรรมชาติล้วน ๆ จากการที่หินปะการังมาเรียงตัวกลายเป็นรูปหัวใจ และนับแต่มันถูกค้นพบเมื่อปี 1975 ก็ถูกเก็บภาพไปทำโปสการ์ดหรือโบรชัวร์เรื่อยมา อย่างไรก็ตาม ถ้าใครฝันจะได้ดำน้ำเคียงข้างปะการังรูปหัวใจนี้คงหมดหวังนะคะ เพราะที่นี่เป็นเขตหวงห้าม ต้องชมจากบนเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบินเท่านั้น

 รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก


3. Isla Corazon, ประเทศเอกวาดอร์

          เกาะรูปหัวใจบนแม่น้ำโชนแห่งนี้ก็เป็นอีกที่ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งมนุษย์ไม่ได้ไปทำการตัดแต่งพื้นที่แต่อย่างใด เพียงแต่มีชาวประมงท้องถิ่นช่วยกันปลูกป่าจนมันอุดมสมบูรณ์ และมีเกาะรูปหัวใจเขียวชอุ่มอย่างที่เห็น ซึ่งปัจจุบันมันก็กลายเป็นสถานที่ยอดนิยม โดยมีชาวประมงกลุ่มเดิมคอยดูแลรวมทั้งทำหน้าที่เป็นไกด์ไปเรียบร้อยแล้ว

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก Parkland School Division 
 

4. Heart-Shaped Meadow, ประเทศอังกฤษ

          เป็นเวลามากกว่า 10 ปีมาแล้วที่ วินสตัน โฮวส์ ได้ปลูกต้นโอ๊กกว่า 6,000 ต้น ให้กลายเป็นผืนภาพรูปหัวใจสีเขียวสุดโรแมนติก เพื่ออุทิศให้แก่ภรรยาผู้เป็นที่รักซึ่งล่วงลับไปแล้ว อีกทั้งยังล้อมรั้วกั้นเอาไว้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวอีกด้วย ป่ารูปหัวใจนี้จึงเป็นความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาตลอด จนกระทั่ง แอนดี้ คอลเลต ได้นั่งบอลลูนของตัวเองท่องเที่ยวและมาพบกับภาพนี้เข้า ซึ่งแม้แอนดี้เองจะตระเวนท่องเที่ยวมาหลายแห่งแล้ว แต่เขาก็เผยว่าไม่เคยเห็นอะไรน่าทึ่งแบบนี้มาก่อน

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก inhabitat


5. Vaza-Barris, ประเทศบราซิล

          ณ แม่น้ำวาซา-บาร์ริส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล บริเวณรัฐบาเฮีย คือที่ตั้งของเกาะรูปหัวใจถูกปกคลุมด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้ ที่ช่วยให้บรรยากาศรอบข้างดูสวยหวานโรแมนติกเหมาะกับคู่รัก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคู่รักที่ชื่นชอบธรรมชาติโดยเฉพาะ

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก Foto Blog X 

6. Trittau, ประเทศเยอรมน

          มองเผิน ๆ จากพื้นดิน ทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็คงเหมือนกับทุ่งหญ้าทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย แต่หากมองจากบนฟ้าผ่านเฮลิคอปเตอร์ จะเห็นว่าทุ่งหญ้าในเมืองทริธทอว์ ประเทศเยอรมนี มีรูปหัวใจดวงโตน่ารักรวมอยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นที่ดินถูกทิ้งร้างไปเรียบร้อยแล้ว แต่หากได้มองภาพนี้ร่วมกับคนรักสักครั้งคงโรแมนติกอยู่ดีนั่นแหละ

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก Country Boy Life

 
7. Galesnjak, ประเทศโครเอเชีย


          เกาะรูปหัวใจดวงโตแห่งนี้ถูกแยกออกจากผืนแผ่นดินใหญ่ในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา และมีเทือกเขาสูงอยู่หลายแห่งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว มีชายฝั่งทะเลที่สวยงามไปด้วยหน้าผาหินทรายสีสดและผืนป่าอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ มันจึงเป็นดินแดนที่ได้รับการยอมรับจากชาวโลกถึงผืนป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์ที่ มีอากาศบริสุทธิ์แหล่งสุดท้ายในโลกและสายน้ำที่สะอาดที่สุดในโลก

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก Andrei Desktop 


8. Lake in the Amazon Jungle, ประเทศบราซิล


          นอกจากป่าอเมซอนจะมีความอุดมสมบูรณ์ที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกแล้ว ในมุมหนึ่งของป่าบริเวณใกล้เมืองมาเนาส์ ยังมีแม่น้ำรูปหัวใจซ่อนอยู่ด้วย ทำให้เมื่อชมวิวของป่าแห่งนี้ผ่านเฮลิคอปเตอร์แล้วดูสวยงามน่าประทับใจขึ้นอีก ยิ่งถ้าได้มองกับคนรักล่ะก็ คงหวานน้ำตาลเรียกพี่เลยล่ะ

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก Ride CBR


9. Lake McKenzie, ประเทศออสเตรเลีย

          ทะเลสาบแม็คเคนซีแห่งนี้คือแม่น้ำรูปหัวใจบนเกาะเฟรเซอร์ รัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย โดยมันมีความยาวราว 1,200 เมตร และกว้างกว่า 930 เมตร ซึ่งทรายรอบนอกนั้นประกอบด้วยผลึกซิลิกาสีขาวตัดกับผืนน้ำสีน้ำเงิน ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ดูเหมือนอัญมณีรูปหัวใจสีน้ำเงินเข้มเลยทีเดียว

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก traveltoaustralia


10. Brokengill plantation, ประเทศอังกฤษ

          ต้นไม้ที่ถูกปลูกเป็นรูปหัวใจนี้ มีตำนานเล่าขานความโรแมนติกออกมามากมายแตกต่างกันไป แต่ที่มาจริง ๆ ของมันคือถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับการแต่งงานของ รูธ เวคฟิลด์ และ ฮาร์วีย์ กู้ดวิน เมื่อปี 1879 นั่นเอง และในปัจจุบันมันก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดพิเศษของคู่รักไปเรียบร้อยแล้ว

รูปหัวใจบนผืนธรรมชาติ ส่งความรักจากทั่วมุมโลก
ภาพจาก E-Notice 


          เชื่อเถอะว่านอกจากความรักของคุณแล้ว บรรยากาศก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเหมือนกัน ดังนั้น จะพาแฟนไปเที่ยวทั้งทีเลือกสถานที่ดูโรแมนติกสักหน่อย ก็น่าจะช่วยให้ทริปนี้มีความหมายสำหรับคุณสองคนได้มากขึ้นเยอะเลยล่ะ